ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร
พุทธศักราช ๒๕๒๐
_______________

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๐
เป็นปีที่ ๓๒ ในรัชกาลปัจจุบัน

            พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า
            โดยที่หัวหน้าคณะปฏิวัตินำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ว่า การที่คณะปฏิวัติได้กระทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๒๐ และประกาศให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๙ นั้น เนื่องด้วยมี ความปรารถนาจะเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม ความสามัคคีของชนในชาติ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความสงบสุขของประชาชน ตลอดจนสร้างเสริมความสัมพันธ์กับนานาประเทศเพื่อให้เกิดความมั่นคงทั้งภายในภายนอกราชอาณาจักรในการ บริหารประเทศต่อไป คณะปฏิวัติจะจัดให้มีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมอบให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จัดร่างขึ้นตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้มีการเลือกตั้ง ภายในปี พุทธศักราช ๒๕๒๑ แต่ในระหว่างดำเนินการดังกล่าว ควรให้ มีธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรใช้ไปพลางก่อนให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้
            อาศัยเหตุดังที่หัวหน้าคณะปฎิวัติกราบบังคมทูลขึ้นมา จึง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ใช้บทบัญญัติซึ่ง คณะปฏิวัติเสนอมาต่อไปนี้เป็นธรรมนูญการปกครองราชอาณา จักร จนกว่าจะได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญซึ่งจะได้จัดร่างขึ้นตาม บทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองฉบับนี้
            มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
            พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและดำรงตำแหน่ง จอมทัพไทย
            มาตรา ๒ อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย พระ มหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นแต่โดยบทบัญญัติแห่ง ธรรมนูญการปกครองนี้
            มาตรา ๓ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทาง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล
            มาตรา ๔ องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็น ที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และจะกล่าวหาหรือ ฟ้องร้องในทางใด ๆ มิได้
            มาตรา ๕ พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งผู้ทรง คุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรีคนหนึ่ง และองคมนตรีอื่นอีก ไม่เกินสิบสี่คน ประกอบเป็นคณะองคมนตรี
            คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา
            การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรี และการให้องคมนตรี พ้นจากตำแหน่งย่อมเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
            มาตรา ๖ ให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีหน้าที่จัดทำ รัฐธรรมนูญ และพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
            ในการจัดทำรัฐธรรมนูญ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติคำนึง ถึงการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะมีขึ้นภายในปีพุทธศักราช ๒๕๒๑
            มาตรา ๗ สภานิติบัญญัติแห่งชาติประกอบด้วยสมาชิก จำนวนไม่น้อยกว่าสามร้อยคนแต่ไม่เกินสี่ร้อยคน ซึ่งพระมหา กษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด ตามที่ประธาน สภานโยบายแห่งชาตินำความกราบบังคมทูล
            ถ้าตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่างลง พระมหา กษัตริย์จะทรงแต่งตั้งบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามวรรคหนึ่งเข้าเป็น สมาชิกแทนก็ได้
            ประธานสภานโยบายแห่งชาติเป็นผู้รับสนองพระบรม ราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
            พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะให้สมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติพ้นจากตำแหน่งตามที่ประธานสภานิติ บัญญัติแห่งชาติถวายคำแนะนำตามมติของสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการให้สมาชิกพ้นจากตำแหน่ง
            มาตรา ๘ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกสภานิติ บัญญัติแห่งชาติตามมติของสภาให้เป็นประธานสภาคนหนึ่ง เป็นรองประธานสภาคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้
            มาตรา ๙ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมา- ธิการขึ้นคณะหนึ่งทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเสนอต่อสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ
            คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจะมีจำนวนเท่าใด และ จะประกอบด้วยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่ง ชาติหรือไม่ ให้เป็นไปตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
            มาตรา ๑๐ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้รับร่างรัฐธรรมนูญ จากคณะกรรมาธิการตามมาตรา ๙ แล้ว ให้พิจารณาร่าง รัฐธรรมนูญนั้นเป็นสามวาระ การพิจารณาในวาระที่หนึ่งและ วาระที่สอง ให้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมของสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ สำหรับวาระที่สามให้กระทำได้เมื่อการพิจารณา วาระที่สองได้ล่วงพ้นไปแล้วสิบห้าวัน
            การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ให้ใช้วิธีเรียกชื่อ และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ประกาศใช้ เป็นรัฐธรรมนูญไม่ต่ำกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมด
            การประชุมในวาระที่สาม ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อย กว่าสามในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
            เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติให้ความเห็นชอบใน วาระที่สามแล้ว ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาตินำร่าง รัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระมหากษัตริย์เพื่อ ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญ
            การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ให้ประธานสภานิติบัญญัติ แห่งชาติลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
            มาตรา ๑๑ ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวาระที่สาม ถ้าไม่ได้คะแนนเสียงเห็นชอบตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง ให้สภา นิติบัญญัติแห่งชาติจัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ตามบทบัญญัติ แห่งธรรมนูญการปกครองนี้ แต่ถ้าการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ดังกล่าวจะมีผลให้ไม่อาจจัดให้มีการเลือกตั้งภายในปีพุทธศักราช ๒๕๒๑ ให้ขยายกำหนดเวลาการจัดให้มีการเลือกตั้งออกไป หนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีพุทธศักราช ๒๕๒๑
            มาตรา ๑๒ ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นใหม่ ตามมาตรา ๑๑ ถ้าไม่ได้คะแนนเสียงเห็นชอบตามมาตรา ๑๐ ใน วาระที่หนึ่งหรือวาระที่สาม ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทั้งหมดพ้นจากตำแหน่งในวันที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ลงคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ และให้คณะรัฐมนตรีโดยความ เห็นชอบของสภานโยบายแห่งชาตินำร่างรัฐธรรมนูญที่คณะ กรรมาธิการตามมาตรา ๙ ร่างขึ้น หรือรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทยที่ได้เคยประกาศใช้บังคับมาแล้วฉบับใดฉบับหนึ่ง มาปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่สภา นิติบัญญัติแห่งชาติลงคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ และนำขึ้นทูล เกล้าทูลกระหม่อมถวายพระมหากษัตริย์ เพื่อทรงลงพระปรมา ภิไธยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญ
            ในการปรับปรุงรัฐธรรมนูญตามวรรคหนึ่ง ให้คณะรัฐมนตรี คำนึงถึงการเลือกตั้งซึ่งจะต้องจัดให้มีขึ้นโดยเร็วเท่าที่จะทำได้
            การประกาศใช้รัฐธรรมนูญตามมาตรานี้ ให้นายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
            มาตรา ๑๓ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐ การประชุมสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสาม ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
            มาตรา ๑๔ ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้ใด จะกล่าวถ้อยคำใด ๆ ในทางแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความ คิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธ์โดยเด็ดขาด จะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวผู้นั้นในทางใดมิได้
            เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง ให้คุ้มครองถึงกรรมา- ธิการของสภาผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุมโดยคำสั่ง ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย
            ในกรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติถูกควบคุมหรือขัง หรือถูกฟ้องในคดีอาญา ให้สั่งปล่อยหรืองดการพิจารณาในเมื่อ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติร้องขอ
            มาตรา ๑๕ สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจตราข้อบังคับ เกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รอง ประธานสภา และกรรมาธิการ วิธีการประชุม การพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติ การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ การเสนอญัตติ ที่ไม่มีลักษณะเป็นการขอให้คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีชี้แจง หรือแสดงความเห็นในเรื่องใด ๆ การอภิปราย การลงมติ การ รักษาระเบียบและความเรียบร้อย และกิจการอื่นเพื่อดำเนินการ ตามอำนาจหน้าที่
            มาตรา ๑๖ พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชบัญญัติโดย คำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
            ร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดยคณะรัฐมนตรี
            มาตรา ๑๗ ให้มีสภานโยบายแห่งชาติ ประกอบด้วย บุคคลในคณะปฏิวัติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๖ ลง วันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๐ เป็นสมาชิก
            ให้หัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นประธานสภานโยบายแห่งชาติ รองหัวหน้าคณะปฏิวัติ เป็นรองประธานสภานโยบายแห่งชาติ และให้สภานโยบายแห่งชาติแต่งตั้งสมาชิกสภานโยบายแห่งชาติ เป็นเลขาธิการสภานโยบายแห่งชาติคนหนึ่ง และรองเลขาธิการ สภานโยบายแห่งชาติคนหนึ่ง
            ในกรณีที่ประธานสภานโยบายแห่งชาติไม่อยู่หรือไม่อาจ ปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานสภานโยบายแห่งชาติทำหน้าที่ ประธานสภานโยบายแห่งชาติ และในกรณีที่ประธานและรอง ประธานสภานโยบายแห่งชาติไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้สมาชิกสภานโยบายแห่งชาติเลือกสมาชิกคนหนึ่งทำหน้าที่ ประธานสภานโยบายแห่งชาติ
            มาตรา ๑๘ สภานโยบายแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่กำหนด แนวนโยบายแห่งรัฐ และให้ความคิดเห็นแก่คณะรัฐมนตรีเพื่อ ให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐ และมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในธรรมนูญการปกครองนี้
            มาตรา ๑๙ ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับนโยบายสำคัญ หรือ เมื่อนายกรัฐมนตรีขอให้พิจารณาปัญหาใด ประธานสภานโยบาย แห่งชาติจะเสนอปัญหานั้นให้ที่ประชุมร่วมระหว่างสมาชิก สภานโยบายแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ก็ได้ และเมื่อที่ประชุมร่วมมีมติเป็นประการใดแล้ว ให้คณะ รัฐมนตรีดำเนินการให้เป็นไปตามนั้น
            ในการประชุมร่วมตามวรรคหนึ่ง ให้ประธานสภานโยบาย แห่งชาติทำหน้าที่ประธาน และให้นำความในวรรคสามของ มาตรา ๑๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
            มาตรา ๒๐ ก่อนตั้งคณะรัฐมนตรี ประธานสภานโยบาย แห่งชาติปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และสภานโยบายแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่คณะรัฐมนตรี
            มาตรา ๒๑ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคน หนึ่งตามคำกราบบังคมทูลของประธานสภานโยบายแห่งชาติ และรัฐมนตรีตามจำนวนที่นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูล ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน
            มาตรา ๒๒ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่ จะให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่ประธานสภานโยบาย แห่งชาติถวายคำแนะนำ และให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่ นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ
            มาตรา ๒๓ ประธานสภานโยบายแห่งชาติเป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหรือให้ นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง
            นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งรัฐมนตรีหรือให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง
            มาตรา ๒๔ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะเป็นสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติมิได้ และจะดำรงตำแหน่งใดในกิจการ เอกชนที่ดำเนินธุรกิจเพื่อค้ากำไรมิได้
            นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีสิทธิเข้าร่วมประชุมเพื่อแถลง นโยบายและชี้แจงแสดงความเห็นในที่ประชุมสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
            มาตรา ๒๕ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจ ในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย
            มาตรา ๒๖ เมื่อมีความจำเป็นรีบด่วนในอันจะรักษาความ มั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือเมื่อ มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยการภาษีอากรหรือเงินตรา นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของสภานโยบายแห่งชาติ จะกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์เพื่อทรงตราพระราชกำหนด ให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้
            เมื่อได้ประกาศใช้พระราชกำหนดแล้ว ให้คณะรัฐมนตรี เสนอพระราชกำหนดต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยไม่ชักช้า ถ้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติอนุมัติแล้ว ให้พระราชกำหนดมีผล เป็นพระราชบัญญัติต่อไป ถ้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่อนุมัติ ให้พระราชกำหนดนั้นตกไป แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนกิจการ ที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น
            การอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนด ให้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา ในกรณีไม่อนุมัติให้มีผลตั้งแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา
            มาตรา ๒๗ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นเป็นการจำเป็น เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ระงับหรือปราบปรามการกระทำ อันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน หรือการกระทำ อันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชน หรือการกระทำอันเป็นการทำลายทรัพยากร ของประเทศ หรือเป็นการบั่นทอนสุขภาพอนามัยของประชาชน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันใช้ธรรมนูญการปกครองนี้ และไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้นายก- รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีและของสภา- นโยบายแห่งชาติ มีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ได้ และ ให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งการ ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติ ที่ชอบด้วยกฎหมาย
            เมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการ หรือกระทำการใดไปตามวรรค หนึ่งแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบ
            มาตรา ๒๘ บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และ พระบรมราชโองการใด อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมี นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราช โองการ
            มาตรา ๒๙ ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณา พิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย
            มาตรา ๓๐ ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญการ ปกครองนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณี การปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย
            ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวแก่การวินิจฉัยกรณีใดตามความใน วรรคหนึ่งเกิดขึ้นในวงงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ เกิดขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติวินิจฉัย ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติวินิจฉัยชี้ขาด
            มาตรา ๓๑ ในกรณีมีปัญหาว่าการกระทำหรือการปฏิบัติ ใดขัดหรือแย้งหรือไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งธรรมนูญการ ปกครองนี้ ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
            มาตรา ๓๒ บรรดาการกระทำ ประกาศหรือคำสั่งของ หัวหน้าคณะปฏิวัติ หรือการกระทำ ประกาศหรือคำสั่งของคณะ ปฏิวัติที่ได้กระทำ ประกาศหรือสั่งก่อนวันใช้ธรรมนูญการ ปกครองนี้ ทั้งนี้ ที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิวัติ ไม่ว่าจะกระทำด้วย ประการใด หรือเป็นในรูปใด และไม่ว่าจะกระทำ ประกาศหรือ สั่งให้มีผลใช้บังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทาง ตุลาการ ให้ถือว่าการกระทำ ประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจน การกระทำของผู้ปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้น เป็นการ กระทำ ประกาศหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเรือเอก สงัด ชลออยู่
หัวหน้าคณะปฏิวัติ