ครั้งที่ 235

28 มีนาคม 2553 20:49 น.

       ครั้งที่ 235
       สำหรับวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2553
       
       “ทำอย่างไรถึงจะชนะ”
       

       ผมได้รับการสอบถามจากเพื่อนนักวิชาการ สื่อมวลชน และลูกศิษย์ว่าทำไมถึงไม่เขียนหรือให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณียึดทรัพย์ของคุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผมก็ได้ชี้แจงไป 2 เหตุผลใหญ่ๆด้วยกัน เหตุผลแรก คือภายหลังที่มีคำพิพากษาและคำวินิจฉัยส่วนบุคคลออกมา ก็มีข่าวว่าคุณทักษิณฯ จะอุทธรณ์ ผมก็เลยยังไม่อยากให้ความเห็นใดๆก่อนที่จะมี “คำตอบ” ของการอุทธรณ์ออกมาให้ชัดเจนว่า ศาลรับอุทธรณ์หรือไม่ หากรับผลของการอุทธรณ์เป็นอย่างไร ส่วนเหตุผลที่สองก็เกี่ยวข้องกับเหตุผลแรก เพราะผมเกรงว่า หากให้ความเห็นไปก่อน และหากผมมีความเห็นที่ดี อาจมีผู้นำความเห็นของผมไปใช้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ผลที่ออกมาอาจทำให้ผมถูกจับไปอยู่เป็นพวกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ซึ่งก็จะทำให้เสียความเป็นกลางไปในที่สุด เพราะฉะนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะไม่เขียนหรือให้สัมภาษณ์กรณียึดทรัพย์คุณทักษิณ ฯ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดจริงๆครับ
       การชุมนุมครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สร้าง “สีสัน” ให้กับสังคมเมืองหลวงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากว่างเว้นบรรยากาศแบบนั้นไปเสียนานครับ!!! ผมเองก็เช่นเดียวกับคนกรุงเทพฯ ทั่ว ๆ ไปที่เฝ้ามองดูการชุมนุมด้วยความวิตกกังวลว่า จะมีอะไร “เกินขอบเขต” ของการชุมนุมโดยสงบหรือไม่ แต่จนกระทั่งในขณะที่เขียนบทบรรณาธิการนี้ สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ยังพอที่จะ “รับได้” อยู่ครับ (ไม่นับเรื่อง “เลือด” นะครับ!!!) แต่ที่ “รับไม่ได้” ก็คงเป็นเรื่องของมาตรการต่าง ๆ ที่กำหนดโดยภาครัฐเสียมากกว่า
       วันนี้ สภาพของกรุงเทพมหานครของเราดูไม่ต่างไปจากประเทศที่มีสงครามเท่าไรนัก บทถนนสาธารณะ มีการนำเอาบังเกอร์คอนกรีตมาวาง มีแผงกั้นถนนอยู่จำนวนมาก รอบสถานที่ราชการบางแห่งก็มีการนำเอารั้วลวดหนามมาติดไว้ ไปไหนมาไหนเจอแต่ทหาร รถทหารก็เยอะ ด่านตรวจเต็มไปหมด ดูข่าวโทรทัศน์ นายกรัฐมนตรีไปไหนก็มีทหารจำนวนมากขนาบข้าง นายกรัฐมนตรีเดินทางก็ใช้เฮลิคอปเตอร์ เรียกได้ว่า สรรพกำลังทางทหารพร้อมยุทโธปกรณ์ต่างๆถูกนำมาใช้กันอย่างเต็มที่เพื่อ “ป้องกัน” รัฐบาลและบุคคลสำคัญจาก “คนเสื้อแดง” ทั้งๆที่สื่อของรัฐก็ได้ออกข่าวอยู่ตลอดเวลาว่ามีจำนวนไม่มากเหมือนกับที่ได้ “คุย” เอาไว้ !!!
       รัฐบาลน่าจะลองทบทวนดูนะครับว่ามาตรการต่างๆที่กำหนดขึ้นมานี้ มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด และเหมาะสมหรือไม่ที่ใช้กำลังทหาร ตำรวจจำนวนมากเพื่อรักษาความปลอดภัย “ของตัวเอง” แต่ไปกระทบกับชีวิตและความเป็นอยู่ตามปกติของประชาชนทั่วไปครับ !!!
       กลับมาดูการชุมนุมของคนเสื้อแดงกันดีกว่า หากจะวิจารณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง ก็คงตอบได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายว่า ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นและไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบ้านเรา (ไม่นับเรื่อง “เลือด” นะครับ!!!) การต่อสู้ของคนเสื้อแดงยังคงเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีทิศทางและไม่มีจุดหมายที่ชัดเจนและเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปีที่ผ่านมาครับ
       ไม่ใช่เฉพาะเสื้อแดงเท่านั้นนะครับที่ชุมนุมโดยไม่มีทิศทางและไม่มีจุดหมายที่ชัดเจน หากยังจำกันได้ สมัยเสื้อเหลืองยึดถนน ยึดทำเนียบอยู่กว่า 2 เดือน ก็มีข้อเรียกร้องแปลก ๆ ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกวันจนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกันแน่เหมือนกัน ผมเข้าใจว่าคงเป็นอาการปกติของการชุมนุมในประเทศไทยเพื่อ “โค่นล้ม” อีกฝ่ายหนึ่ง “ก่อน” เวลาอันสมควร คือ ยังไม่มี “ข้อหา” ที่ชัดเจน หยิบอะไรได้ จับอะไรได้ ก็เอามาใช้หมด พอข้อหาไม่ชัดเจน จะทำให้คนมาเพิ่มมากขึ้นก็ลำบาก จะเลิกก็ไม่ได้ เลยต้องอยู่ไปอย่างนั้น พยายามหาข้อหาใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน สำหรับเสื้อเหลืองนั้นถือว่าโชคดีอย่างมากถึง 2 หน หนแรก ตอนอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดฐานทำกับข้าวออกโทรทัศน์ หนที่สอง พรรคพลังประชาชนถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบ เสื้อเหลืองก็เลยมี “ทางลง” ที่สวยงามและไม่ “เสียเหลี่ยม” ครับ แต่ในวันนี้ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ “ทางลง” ของเสื้อแดงว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่ “เสียเหลี่ยม” เช่นกันครับ
       ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่จะให้นายกรัฐมนตรียุบสภานั้นเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ถูกต้องด้วยทฤษฎีก็เพราะการยุบสภาจะทำได้ก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาของการทำงานในรัฐสภาจนทำให้สภาไม่สามารถทำงานต่อไปได้ หรือไม่ก็รัฐสภาไม่ยอมออกกฎหมายให้ฝ่ายบริหาร ทำให้ฝ่ายบริหารทำงานไม่ได้ จึงต้องถูก “ลงโทษ” ด้วยการยุบสภาครับ ส่วนที่ว่าไม่ถูกต้องด้วยการปฏิบัติก็เพราะว่า ที่ผ่านมามีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะให้มีการ “ทบทวน” บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ก็ยังไม่ควรยุบสภา เพราะหากยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นภายใต้กติกาเดิม ก็คงมีเสียงคัดค้านอีกว่า การเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยครับ
       ผมเลยมองไม่เห็น “ทางลง” ของคนเสื้อแดงว่าจะเป็นอย่างไร เพราะผมค่อนข้างแน่ใจว่า นายกรัฐมนตรีคงไม่ยุบสภาเป็นแน่ครับ!
       สมมุติว่า หากคนเสื้อแดง “เบื่อ” ที่จะมานั่งตากแดดหรือวิ่งไปทั่วรอบกรุงเทพฯ แล้วเลิกชุมนุมไปเอง อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ผมคงตอบได้ว่า คงเกิดช่วงเวลา “พักรบ” ของทุกฝ่ายเพื่อที่จะได้กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น ในบทบรรณาธิการครั้งนี้ ผมจึงอยากฝากข้อเสนอแนะสำหรับ “ทุกฝ่าย” เอาไว้ว่า หากต้องมีการ “เริ่มต้น” ชุมนุมครั้งใหญ่กันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะชนะได้ครับ !!! บทบรรณาธิการนี้ไม่ได้เขียนให้เฉพาะคนเสื้อแดงนะครับ แต่สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมซึ่งก็มีอยู่ 3 ฝ่ายด้วยกันคือ คนเสื้อแดง รัฐบาล และประชาชนครับ ใครอยากจะชนะก็ลองอ่านดูเล่นๆ อย่าถือเป็นเรื่องจริงจังนะครับ
       เริ่มจากคนเสื้อแดงก่อน ภายหลังเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมาเมื่อเดือนเมษายนของปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้นสำหรับคนเสื้อแดง ถ้าจะให้วิเคราะห์ก็คงตอบได้ว่า เสื้อแดงขาดหัวและขาดข้อหาครับ
       หัวเป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้นำที่ดี มีความรู้ มีความสามารถมีกลยุทธ มียุทธวิธี เป็นสิ่งที่ทุกสังคมต้องการ รวมทั้งเสื้อแดงด้วย หากจะบอกว่าคุณทักษิณฯ คือ “หัว” ของเสื้อแดง ก็คงจะต้องบอกต่อไปว่า หัวที่ไม่ได้อยู่ติดตัวคงทำอะไรมากไม่ได้ หัวที่ดีต้องอยู่ร่วมกับตัวด้วย อยู่ร่วมกับมวลชน เดินด้วยกัน กินนอนด้วยกัน ยิ่งหัวมีภาวะผู้นำสูง คนก็จะมาร่วมมากขึ้น อยากมาพบ อยากมาเจอ อยากมาให้กำลังใจ แต่ถ้าหัวใช้วิธีพูดผ่านสื่อต่างๆ คนก็คงขาดอารมณ์และความรู้สึกร่วมไป คนมาร่วมน้อย การชุมนุมก็ไม่เกิดผลตามที่ตั้งใจ
       เสื้อแดงขาดหัวครับ ถ้าอยากชนะ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ หาหัวที่มีภาวะผู้นำและมีข้อหาที่ดีด้วยครับ ข้อหาที่เสื้อแดงใช้อยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อ พูดซ้ำไปซ้ำมาในเรื่อง “เกย์” หรือไม่ก็เรื่อง “หนีทหาร” คนฟังก็สนุกมันส์ แต่หากจะถามว่าเป็นข้อหาที่ร้ายแรงหรือไม่ก็คงตอบได้เหมือนๆ กันเพราะในสังคมโลก การเป็นเกย์ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่และไม่ใช้เป็นข้อหาร้ายแรงที่จะเอามาใช้ในการล้มรัฐบาล เช่นเดียวกับข้อหาหนีทหารที่ทุกๆปี ก็มีการหนีทหารอยู่มากมาย จริงอยู่ที่การหนีทหารเป็นความผิด แต่มันก็ไม่ร้ายแรงถึงขนาดจะไปล้มรัฐบาลได้นะครับ ข้อหาที่จะล้มรัฐบาลได้มีเพียงข้อหาเดียวคือ การทุจริต ต่างหากครับ การทุจริตที่ได้ยินมาในเวลานี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ รวมไปถึงสิ่งที่คนเสื้อแดงกำลังแสดงอยู่คือ “สองมาตรฐาน” ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทุจริตของการใช้อำนาจหน้าที่ประเภทหนึ่งครับ
       การทุจริตของนักการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เป็นข่าวใหญ่ๆก็มีอยู่หลายเรื่องที่ในวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า ทุจริตจริงหรือไม่ และใครเป็นผู้ทุจริต ตัวอย่างเช่น เรื่องปลากระป๋องเน่าหรือเรื่องชุมชนพอเพียง เป็นต้น ในวงการทหารก็มีเหมือนกันนะครับ เครื่อง CT 200 เรือเหาะ งบภาคใต้ งบซื้ออาวุธ แต่ถ้าจะให้ไกลกว่านั้น คงมีเขายายเที่ยงเป็นกรณีที่น่าสนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างมาก แค่ย้ายบ้านหนีแล้วคืนที่ให้กับทางราชการจะทำให้พ้นผิดได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าสนใจนะครับ
       ถ้าคนเสื้อแดงอยากชนะ สิ่งที่ควรทำคือ หาคณะทำงานฝีมือดีมากๆมาเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต เมื่อพิสูจน์ได้ชัดว่ามีการทุจริตก็ต้องนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นระบบต่อสังคม ต่อรัฐสภา ต่อสื่อมวลชน เปิดเวทีอภิปรายสาธารณะ นำเสนอทุกวันอย่างต่อเนื่อง ไม่ชนะก็ให้มันรู้ไปครับ เช่นเดียวกับการทุจริตเชิงนโยบายโดยเฉพาะที่เรียกกันว่า “สองมาตรฐาน” หานักกฎหมายมือดีๆที่รู้จักระบบหรือกระบวนการยุติธรรมมาทำการ “เปรียบเทียบ” การดำเนินการต่างๆที่ว่าสองมาตรฐาน เพื่อชี้ให้สังคมได้เห็นภาพที่ชัดเจนในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกหมายจับ การพิจารณาคดีต่างๆ การยุบพรรคการเมือง ทำการเปรียบเทียบขั้นตอนและระยะเวลาเพื่อให้เห็นชัดเจนกันไปเลยว่ามีการกระทำที่สองมาตรฐานจริงหรือไม่ ถ้าเป็นคดีความที่อยู่ในศาลก็หาคดีประเภทเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต มาดูว่าช้าหรือเร็วกว่าปกติอย่างไร ทุกอย่างต้องทำอย่างชัดเจน เป็นระบบ และถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำได้อย่างนี้แล้วนำเสนอต่อประชาชนด้วยวิธีการง่ายๆ ยังไงก็ชนะครับ !!!
       เพราะฉะนั้น หากเสื้อแดงต้องการชนะ สิ่งที่ต้องทำก็คือ จัดระบบใหม่ทั้งหมดด้วยการจัดหาหัวที่ดี มีความรู้ มีภาวะผู้นำ จากนั้นก็ต้องสร้างทีมงานที่ดี มีความรู้ มีความสามารถ ทำงานเป็นระบบ ติดตามเรื่องทุจริตคอรัปชั่นจนได้ความที่ชัดเจนแล้วนำมาเผยแพร่ในวงกว้าง ใช้ข้อมูลเหล่านั้นในทุกเวทีไม่ว่าจะเป็นในสภา ในสื่อทั้งไทยและต่างประเทศ ทำได้อย่างนี้รับรองว่าเลือกตั้งหนหน้าชนะเด็ดขาดครับ !!!
       ต่อมาก็คือรัฐบาล ทำอย่างไรรัฐบาลถึงจะชนะเป็นคำถามที่ไม่ยากแล้วก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็วเลยครับ สิ่งแรกที่ต้องพึงสังวรณ์ไว้ก็คือ รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของประเทศไหนในโลกก็ตาม มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินและจัดทำบริการสาธารณะให้กับประชาชน ไม่ได้มีหน้าที่ “ไล่ล่าผู้นำคนเก่า” นะครับ !!! เท่าที่ผ่านมา เราคงเห็นคล้ายๆกันว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการไล่ล่าคุณทักษิณฯเหลือเกิน หมกมุ่นอยู่กับการตอบโต้ การให้ข่าว การดำเนินการเพื่อที่จะ “จัดการ” กับคุณทักษิณฯ ทำให้รัฐบาลเสียเวลาไปมากโดยไม่ได้อะไรเลย งบประมาณก็หมดไปมากด้วยนะครับ นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นอีกด้วย บางทีน่าจะลองไปหาหนังสือเรื่อง “The Prince” ของ Machiavelli มาลองอ่านดูบ้างนะครับ จะได้รู้ว่าในรัฐที่ไปตีเขามาได้ ผู้ปกครองต้องใช้วิธีสร้างความกลมกลืนกับชนพื้นเมือง การเป็นปฏิปักษ์กับชนพื้นเมืองทำให้มีศัตรูและยากที่จะปกครอง ยิ่งไล่ล่าคุณทักษิณฯ คนที่ชื่นชอบคุณทักษิณฯก็จะยิ่งเป็นศัตรูกับรัฐบาล วันหนึ่งถ้าคนที่เคยอยู่ตรงกลางตัดสินใจย้ายมาอยู่ข้างคุณทักษิณฯ รัฐบาลคงอยู่ไม่ได้นะครับ เพราะฉะนั้นหากรัฐบาลอยากชนะ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ เลิกให้ความสนใจกับคุณทักษิณฯ เลิกให้ข่าว เลิกทุกอย่างให้หมด รวมทั้งสั่งให้สถานีโทรทัศน์ช่องหอยม่วงหยุดเสนอข่าวและหยุดจัดรายการเพื่อโจมตี “อีกฝ่ายหนึ่ง” เสียทีครับ จากนั้นก็หันหน้ามาทำหน้าที่ตาม Job description ของตนเองให้ครบ จะเหมาะสมกว่า ส่วนสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ พยายามทำให้คนที่ชื่นชมคุณทักษิณฯและคนที่อยู่ตรงกลางเปลี่ยนใจมาสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งผมก็ว่าทำได้ไม่ยากเช่นกันครับ เลิกพูดมาก เลิกวิพากษ์วิจารณ์ เหน็บแนม เลิกเสียดสี และหันมาให้ความสนใจและทุ่มเทให้กับงานที่เป็นประโยชน์ของประชาชนและของประเทศชาติ ในวันนี้ หากผมเป็นรัฐบาลการจัดระบบสวัสดิการที่ถูกต้องให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทยในระยะยาวนะครับ พยายามทำให้ดีมากขึ้นๆ ไม่นานก็ได้ประชาชนส่วนใหญ่มาเป็นพวก เลือกตั้งงวดหน้ายังไงๆก็เกิน 240 เสียงอยู่แล้วครับ !!!
       ส่วนที่ว่าประชาชนจะชนะได้ด้วยวิธีใดนั้น ผมมองดูว่า ประชาชนแพ้มาตั้งแต่แรกแล้วนะครับ ทำงานหนัก จ่ายภาษีมาก มาให้ “ผู้มีอำนาจ” ทุจริต แค่นี้ก็แพ้อยู่แล้วในสภาวะปกติ เพราะเราไม่สามารถทำอะไรกับ “คนพวกนั้น” ได้เลย ประชาชนส่วนในสภาวะไม่ปกติ เช่นที่มีการชุมนุมนั้น ประชาชนก็แพ้อีก เดิมคนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาลแต่คนเมืองหลวงเป็นผู้ล้มรัฐบาล แต่วันนี้กลับกันเสียแล้ว ก็ต้องดูกันต่อไปว่าเหตุการณ์จะพัฒนาเป็นรูปใด ที่เป็นอยู่ ประชาชนถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองของฝ่ายการเมือง ถูกลากไปเข้าข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอด ทำอย่างไรประชาชนจึงจะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ เป็นตัวของตัวเอง ใช้สิทธิใช้เสียงของตัวเองได้อย่างอิสระ เลือกนักการเมืองโดยดูจากอุดมการณ์และนโยบายทางการเมืองเป็นหลัก หากทำได้ประชาชนก็คงเป็นผู้ชนะ เพราะจะได้คนที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่ผู้แทนของตนมาเป็นรัฐบาลที่ดีที่จะปกครองประเทศต่อไป
       ไม่รู้ว่าใครจะทำได้มากน้อยแค่ไหนนะครับ ก็คงต้องลองดูหากอยากเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าทำตามแล้วไม่ชนะ จะมาโทษผมไม่ได้นะครับ
       
       ในสัปดาห์นี้ คุณชำนาญ จันทร์เรือง ได้ส่ง “ข้อเสนอของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน” ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศในปัจจุบัน มาให้เราเผยแพร่ครับ ผมขอขอบคุณ คุณชำนาญ จันทร์เรือง ไว้ ณ ที่นี้ครับ
       
       พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2553 ครับ
       
       ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์


พิมพ์จาก http://www.public-law.net/view.aspx?ID=1449
เวลา 25 เมษายน 2567 20:02 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)