ไทยกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

17 กรกฎาคม 2554 21:54 น.

       เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล(Amnesty International)หรือที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปว่าองค์การนิรโทษกรรมสากล ได้จัดทำรายงานประจำปี 2554 เพื่อรายงานสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนของประเทศต่างๆทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยเราด้วย โดยรายงานดังกล่าวมีประเด็นที่สำคัญๆว่ายังมีการเซ็นเซอร์เว็บไซต์ วิทยุ และโทรทัศน์รวมทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ มีความเข้มงวดมากขึ้นเช่นเดียวกับการควบคุมจำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็น ความรุนแรงจากการขัดแย้งกันด้วยกำลังอาวุธภายในประเทศที่ภาคใต้ยังดำเนินต่อไป โดยกองกำลังฝ่ายความมั่นคงยังคงซ้อมทรมานและปฏิบัติอย่างโหดร้ายต่อผู้ต้องสงสัย ในขณะที่สมาชิกกลุ่มติดอาวุธยังคงโจมตีพลเรือน ส่วนผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่กรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัดต้องเผชิญกับการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของกองกำลังฝ่ายความมั่นคง และยังคงมีการควบคุมตัวผู้ประท้วงอีกหลายร้อยคน โดยพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมีข้อบัญญัติหลายประการที่ขัดต่อกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และมีการประกาศใช้ที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาเกือบ 8 เดือน คนงานต่างด้าวที่ไม่มีสถานภาพตามกฎหมายต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนรวมทั้งผู้ลี้ภัยก็ถูกบังคับส่งกลับพม่า
        
       ความรุนแรงทางการเมือง
       ระหว่างวันที่ 10 เมษายน - 19 พฤษภาคม ผู้ประท้วงหรือคนทั่วไป 74 คน เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ 11 คนเจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ 4 คน และผู้สื่อข่าว 2 คนถูกสังหาร ในระหว่างการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่กรุงเทพฯและที่จังหวัดอื่นๆ กองกำลังฝ่ายความมั่นคงได้ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ทั้งการใช้อาวุธปืนที่มุ่งหมายชีวิตและการประกาศ “เขตกระสุนจริง” เป็นเหตุให้ผู้ประท้วงและคนทั่วไปที่ไม่มีอาวุธหลายคนเสียชีวิต พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ผู้นำกลุ่มประท้วงก็ถูกยิงจนเสียชีวิตจากพลแม่นปืนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ผู้ประท้วงและสมาชิกบางส่วนก็มีอาวุธ และได้ใช้อาวุธต่อต้านกองกำลังฝ่ายความมั่นคง รัฐบาลได้ควบคุมตัวประชาชนกว่า 450คนในช่วงเริ่มต้นการประท้วง และยังมีอีก 180 คนที่ถูกควบคุมตัวหรือไม่ก็ได้รับการประกันตัวออกมาระหว่างรอการไต่สวนคดีเมื่อปลายปีที่ผ่านมา บางส่วนถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าก่อการร้าย
        
       เสรีภาพในการแสดงความเห็น
       รัฐบาลได้ควบคุมเสรีภาพในการแสดงความเห็นโดยอ้าง พรก.ฉุกเฉินฯ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
       • เมื่อเดือนตุลาคมนางอมรวรรณ เจริญกิจ(Amornwan Charoenkij) ถูกจับกุมตาม พรก.ฉุกเฉินฯที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากขายรองเท้าแตะที่มีรูปหน้านายกรัฐมนตรีและมีข้อความอ้างถึงผู้เสียชีวิตทั้ง 91 รายจากความรุนแรงเมื่อเดือนพฤษภาคม แม้ว่าขณะจับกุมจะมีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว แต่มาตรา 9 (3) ตาม พรก.ฉุกเฉินมีเนื้อหาครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งขัดกับหลักสัดส่วนความเหมาะสมตามกติการะหว่างประเทศ
       พรก.ฉุกเฉินฯให้อำนาจกับศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อเซ็นเซอร์เว็บไซต์ วิทยุ และโทรทัศน์ รวมทั้งสื่อสิ่งพิมพ์โดยไม่ต้องขอหมายศาล ในช่วงการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่เข้มข้นมากที่สุด ในแต่ละสัปดาห์ของช่วงสามสัปดาห์สุดท้ายในเดือนพฤษภาคม ศอฉ.ประกาศว่าได้บล็อกเว็บไซต์ 770, 1,150 และ 1,900แห่งตามลำดับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประกาศในเดือนมิถุนายนว่าได้บล็อกเว็บไซต์ในประเทศไทย 43,908 แห่ง โดยอ้างว่าละเมิดกฎหมายหมิ่นฯ และขัดต่อความมั่นคงภายในประเทศมีการฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างน้อย 5 คดีตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยอ้างว่ามีเนื้อหาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์และ/หรือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงภายในประเทศ เป็นเหตุให้มีคดีในเรื่องนี้ 15 คดีนับแต่ พรบ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2550
       • ในวันที่ 29 เมษายน นายวิภาส รักสกุลไทยนักธุรกิจได้ถูกจับกุมหลังจากส่งข้อความในเฟซบุ๊คในข้อหาละเมิดกฎหมายหมิ่นฯ เขาได้กลายเป็นนักโทษทางความคิด(prisoner of conscience)ไม่ได้รับการประกันตัว และจนถึงสิ้นปีที่ผ่านมายังคงถูกควบคุมตัวเพื่อรอกำหนดวันไต่สวน
       • ในวันที่ 24 กันยายน นางสาวจีรนุช เปรมชัยพรผู้อำนวยการเว็บข่าวประชาไทได้ถูกจับกุมเนื่องจากมีข้อความแสดงความเห็นในเว็บไซต์ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายหมิ่นฯ เธอได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว และจนถึงสิ้นปีที่ผ่านมายังคงรอการสั่งฟ้องคดีจากอัยการ
        
       ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเข้าเมือง
       ชาวต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่มาจากเอเชียและไม่ว่าจะมีสถานะเข้าเมืองอย่างไร ยังต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ ทั้งในแง่การมีงานทำ การจ่ายค่าชดเชยหากเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน และการขึ้นทะเบียนคนพิการ ทั้งยังถูกจำกัดสิทธิในการเดินทาง และต้องทำงานในสภาพที่อันตรายและไม่เหมาะสม แม้จะมีข้อกล่าวหาว่ามีการรีดไถเงิน การทรมาน และการใช้ความรุนแรงต่อคนงานต่างด้าวโดยนายจ้างและเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย แต่ก็ไม่มีการสืบสวนสอบสวนหรือไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีแต่อย่างใดภายหลังการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพอย่างน้อย20,000 คนในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน หลายคนเดินทางกลับพม่าอย่างสมัครใจ แต่หลายคนก็ถูกบังคับให้กลับ หรือถูกห้ามไม่ให้ข้ามเข้ามายังพรมแดนฝั่งไทยซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีที่มีผู้ลี้ภัยหลบหนีการต่อสู้เข้ามาทางพรมแดนแบบประปราย
       • ที่หมู่บ้านวาเลย์ อำเภอพบพระ จังหวัดตากทางการไทยบังคับให้ผู้ลี้ภัยชาวพม่า 166 คนเดินทางกลับไปเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม และบังคับส่งกลับอย่างน้อย 360 คนเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมอีก650 คนเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน และประมาณ2,500 คนเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน
        
       การขัดแย้งกันด้วยกำลังอาวุธภายในประเทศ
       การละเมิดสิทธิมนุษยชนจากทุกฝ่ายยังดำเนินต่อไปท่ามกลางการขัดแย้งกันด้วยกำลังอาวุธภายในประเทศที่เกิดขึ้นในจังหวัดภาคใต้ของไทย มีการขยายเวลาการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินเป็นครั้งที่ 21 นับแต่เดือนกรกฎาคม 2548 กองกำลังฝ่ายความมั่นคงยังคงทำการทรมานผู้ต้องสงสัย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตหลายคนระหว่างถูกควบคุมตัว
       • ในเดือนสิงหาคมตำรวจได้ยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดที่มีต่ออดีตทหารพรานที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ที่มัสยิดอัลฟุรกอน ซึ่งทำให้ชาวมุสลิมเสียชีวิตไป 10 คน และเป็นปีที่เจ็ดติดต่อกันที่ไม่มีการฟ้องร้องคดีต่อเจ้าหน้าที่ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้
       จะเห็นได้ว่านอกเหนือจากการสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ด้วยกระสุนจริงซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงแล้ว เรายังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่โดยทั่วไปที่เราไม่ทราบ เพราะมีการปกปิดข้อมูลข่าวสาร ทำให้ดูเหมือนว่าบ้านเมืองเราสงบเงียบเมื่อสิ้นสุดสถานการณ์ที่ราชประสงค์ แต่ในสายตาของคนนอกนั้น เรายังอยู่ในสถานการณ์ของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงอยู่ ซึ่งสวนทางกับร่างรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ที่สนับสนุนรัฐฐบาลในการใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชนอันขัดกันกับหลักการของสิทธิมนุษยชนอย่างสิ้นเชิง จนผมอยากตั้งคำถามต่อผู้อ่านว่าคณะกรรมการชุดนี้ว่ายังสมควรที่จะใช้ชื่อ “สิทธิมนุษยชน”อยู่ต่อไปหรือไม่
       การมีรายงานจากองค์การระหว่างประเทศให้เราได้พิจารณาเปรียบเทียบเช่นนี้เป็นเสมือนกระเงาที่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเรา ซึ่งผู้ที่ฉลาดย่อมที่จะเลือกมาใช้ประโยชน์ แต่ผู้ที่โง่เขลาย่อมก่นด่าและรังเกียจผู้ที่นำเสนอข้อมูลเช่นว่านี้
       ---------------


พิมพ์จาก http://www.public-law.net/view.aspx?ID=1610
เวลา 29 เมษายน 2567 20:50 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)