ครั้งที่ 306

16 ธันวาคม 2555 21:21 น.

       สำหรับวันจันทร์ที่ 17 ธันวาคมถึงวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2555
        
       
       “วันรัฐธรรมนูญ”
       
                 วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็น “วันรัฐธรรมนูญ” ในปีนี้มีความเป็นพิเศษกว่าวันรัฐธรรมนูญในปีก่อนๆ อยู่ 2 ประการ ประการแรก เพราะเป็นวันที่รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย (หากไม่นับรวม “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475”) มีอายุครบ 80 ปีบริบูรณ์ ประการที่สอง เพราะเป็นวันที่สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงของความสับสนในเรื่องของการที่จะมีหรือไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งถ้ามี รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 ของไทย
                  หากจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “วันรัฐธรรมนูญ” เป็นวันที่ไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไรนักกับสังคมไทย เท่าที่เห็นนอกเหนือจากจะเป็น “วันหยุดราชการ” ที่ไม่ทราบว่าหยุดไปเพื่ออะไรแล้ว ก็เห็นมีแต่คนบางกลุ่มที่ไปถวายบังคมสักการะรูปปั้นพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่อาคารรัฐสภา แล้วก็มีการจัดกิจกรรมทางวิชาการอย่างประปรายไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เองก็ยังไม่มีกิจกรรมอะไรเกิดขึ้นเลยครับ รวมความแล้ว “วันรัฐธรรมนูญ” เป็นเพียงวันหยุดราชการวันหนึ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับวิถีชีวิตของชนชาวไทยเลย
                 รัฐธรรมนูญมีความสำคัญอย่างไรคงเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว เรามีรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับ ผ่านพัฒนาการของการมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศมาแล้วถึง 80 ปี หากจะพิจารณาถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาตั้งแต่ฉบับแรกถึงฉบับปัจจุบันก็จะพบว่ามีหลายๆ อย่างที่ดีเกิดขึ้นมากมาย ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญฉบับลงวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ในหมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของชนชาวสยาม มีบทบัญญัติอยู่เพียง 4 มาตรา ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้าที่สุดของไทย ในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย มีบทบัญญัติจำนวนถึง 45 มาตราด้วยกัน จากรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ ของประเทศกลายมาเป็นรัฐธรรมนูญที่ประกอบไปด้วยกลไกในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐจำนวนหนึ่ง ดังนั้น ในช่วงเวลา 80 ปีที่ผ่านมา เนื้อหาของรัฐธรรมนูญก็มีพัฒนาการในทางที่ “เป็นประโยชน์” ต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก
                 สิ่งที่ “บั่นทอน” ความเป็น “รัฐธรรมนูญ” คงไม่ใช่ “เนื้อหา” ของรัฐธรรมนูญ แต่เป็น “รูปแบบ” หรือ “วิธีการ” ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยมากกว่า ในจำนวนรัฐธรรมนูญที่เคยมีอยู่ทุกฉบับ มีเพียงไม่กี่ฉบับที่เกิดขึ้นด้วยกระบวนการที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย  ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น คณะรัฐประหารก็จะ “ฉีก” รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ทิ้งแล้วคณะรัฐประหารก็จะดำเนินการจัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยผ่านกลไกที่เกี่ยวข้องกับตนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมจนทำให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาซึ่งเนื้อหาสาระก็จะไม่แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญฉบับเดิมเท่าไรนัก  ดังนั้น การรัฐประหารทุกครั้งจึงเป็นการกระทำที่นอกจากจะทำลายระบอบประชาธิปไตยแล้วยังเป็นการทำลายพัฒนาการในด้านวิธีการได้มาและเนื้อหาของรัฐธรรมนูญอีกด้วย
                 การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็เช่นเดียวกับการรัฐประหารครั้งอื่นๆ ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ทิ้งแล้วก็สร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา ปัญหาที่เกิดขึ้นกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งก็เป็นปัญหาเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับรัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหาร “ยัดเยียด” ให้กับคนไทยก็คือ การจัดทำรัฐธรรมนูญไม่มีความเป็นประชาธิปไตยทั้งในด้านรูปแบบและก็ยังมีเนื้อหาอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน จากจำนวนผู้ร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด 35 คนนั้น มีคนที่คณะรัฐประหารส่งมาอย่างเป็นทางการถึง 10 คน ทำให้รูปแบบขององค์กรที่เข้ามาจัดทำรัฐธรรมนูญไม่มีความสง่างามและไม่เป็นประชาธิปไตย ส่วนเนื้อหาของรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะมาตรา 309 ที่รองรับการดำเนินการต่างๆ ของคณะรัฐประหารซึ่งแม้จะมีเพียงมาตราเดียวแต่ก็ทำให้เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหมดความเป็นประชาธิปไตยเลยครับ  นอกจากนี้แล้ว ยังมีบทบัญญัติอีกจำนวนหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่ “กระทบ” ต่อหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยเหตุนี้เองที่มีการเรียกร้องให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อ “ขจัด” คราบไคลของรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหารครับ
                 เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า สังคมไทยแบ่งออกเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน ข้อเสนอให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยฝ่ายหนึ่งได้ถูกนำไปใช้เป็นประเด็นต่อสู้ทางการเมืองเพื่อการเอาชนะทางการเมืองโดยอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมิได้พิจารณาอย่างละเอียดถึงความจำเป็นในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในขณะที่ฝ่ายเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเองก็คิดแต่จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่มี “เหตุ” ที่ชัดเจนที่เกี่ยวข้องกับบทบัญญัติต่างๆ ในรัฐธรรมนูญว่ามีข้อบกพร่องมากน้อยเพียงใดจนทำให้ถึงกับ “จำเป็น” ที่ต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยเหตุนี้เอง ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจึงมีข้อกังขาว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่คงเป็นไปเพื่อ “ประโยชน์ส่วนตัว” มากกว่า “ประโยชน์ส่วนรวม”
                 การแก้รัฐธรรมนูญหรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรมีที่มาจากการศึกษาวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้บังคับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อทราบถึงระดับ “ความร้ายแรง” ของปัญหาแล้วจึงค่อยมาพิจารณากันต่อไปว่าควรแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราโดยกลไกปกติคือรัฐสภา หรือควรจะยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.
                 ที่ผ่านมา ผมได้เคยเสนอความเห็นไปหลายครั้งแล้วว่า ก่อนที่จะคิดแก้รัฐธรรมนูญควรต้องศึกษาดูก่อนว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาและข้อบกพร่องอย่างไร ข้อเสนอของผมไม่ได้เป็นข้อเสนอใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2489) ได้บันทึกไว้ถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเอาไว้ว่า “.... รัฐบาลคณะนายควง อภัยวงศ์ จึ่งเสนอญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พุทธศักราช 2488 ขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณาค้นคว้าตรวจสอบว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ สมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของบ้านเมืองและเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
                   สภาผู้แทนราษฎรจึ่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาค้นคว้าตรวจสอบรัฐธรรมนูญตามคำเสนอข้างต้นนี้ กรรมาธิการคณะนี้ได้ทำการตลอดสมัยของรัฐบาลคณะนายควง   อภัยวงศ์ คณะนายทวี บุณยเกต และคณะหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช
                   ต่อมารัฐบาลคณะหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อรวบรวมความเห็นและเรียบเรียงบทบัญญัติขึ้นเป็นร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อกรรมการคณะนี้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแก้ไขอีกชั้นหนึ่งแล้วนำเสนอผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ประชุมปรึกษาหารือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ และคณะผู้ก่อการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมได้ตั้งกรรมการขึ้นพิจารณา เมื่อกรรมการได้ตรวจพิจารณาแก้ไขแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ จึ่งได้เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาลงมติรับหลักการแล้ว จึ่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่ง
                   บัดนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาและแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จเรียบร้อยแล้วเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาเป็นการสำเร็จบริบูรณ์ จึ่งได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เมื่อทรงพระราชวิจารณ์ถี่ถ้วนทั่วกระบวนความแล้ว ทรงพระราชดำริเห็นว่า ประชากรของพระองค์ประกอบด้วยวุฒิปรีชาในรัฐาภิปาลโนบายสามารถจรรโลงประเทศชาติของตนในอันที่จะก้าวหน้าไปสู่สากลอารยะธรรมแห่งโลกได้โดยสวัสดี ….”
                 รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ก็เป็นรัฐธรรมนูญอีกฉบับหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการศึกษาวิเคราะห์ปัญหาของประเทศ เริ่มต้นจากในปี พ.ศ. 2537 ประธานรัฐสภาในขณะนั้นคือ นายมารุต บุนนาค ได้มีคำสั่งสภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้ง “คณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.)” ขึ้นโดยมี นพ. ประเวศ วะสี เป็นประธานกรรมการเพื่อศึกษาหาแนวทางในการปฏิรูปการเมืองตามเสียงเรียกร้องของประชาชน คพป. ได้กำหนดหัวข้อในการศึกษาวิจัยไว้ 15 หัวข้อโดยได้มอบให้นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ทำการศึกษา จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2538 คพป. จึงได้เสนอผลสรุปการทำงานของตนต่อรัฐสภา จากนั้นเป็นต้นมา การปฏิรูปการเมืองก็ได้กลายมาเป็นหัวข้อที่มีการพูดกันมากและเป็นแรงผลักดันให้เกิดการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 โดยในปี พ.ศ. 2539 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2534 เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
                 รัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับที่กล่าวไปแล้วเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดจากการศึกษาปัญหาของประเทศและศึกษาถึงมาตรการต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญต่างประเทศก่อนที่จะทำการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ครับ
                 การคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “อย่างเอาเป็นเอาตาย” ในปัจจุบันคงไม่เกิดขึ้น หากผู้คิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทำการศึกษาวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก่อน ผมเคยเสนอเรื่องนี้ไว้หลายครั้งแล้วว่า หากจะแก้รัฐธรรมนูญหรือจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรมีฐานที่มาจากการศึกษาวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก่อนแล้วจึงค่อยคิดว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยรัฐสภา หรือโดย สสร.
                 อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้คงทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะเราผ่านช่วงเวลาที่จะต้องทำการศึกษาเพื่อให้ทราบถึงปัญหาของประเทศที่เกิดจากการใช้บังคับรัฐธรรมนูญไปแล้ว ที่ต้องทำในปัจจุบันจึงมีเพียงการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 18-22/2555 จนทำให้รัฐสภา “ไม่กล้า” ลงมติในวาระที่สาม รับ หรือ ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รัฐสภาคงมีทางเลือกอยู่ไม่มากนัก ลงมติในวาระที่สามรับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับและเริ่มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว หรือไม่ก็ลงมติในวาระที่สามไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญตกไปแล้วจากนั้นก็ค่อยไปเริ่มกระบวนการกันใหม่ ด้วยการเดินตามข้อเสนอแนะของศาลรัฐธรรมนูญที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยที่ 18-22/2555 ต่อไป แต่ไม่ว่าจะเลือกทางใด สภาพบ้านเมืองแบบนี้ ความแตกแยกแบบนี้ รัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 น่าจะเกิดขึ้นได้ยากครับ !!!
                 ล่าสุด คณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลได้เสนอแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้พรรคร่วมรัฐบาลพิจารณาสรุปความได้ว่า คณะรัฐมนตรี “ควรจะ” เป็นผู้จัดให้มีการออกเสียงประชามติ ตามมาตรา 165 (1) แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อสอบถามประชาชนว่า “สมควรที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”
                 ไม่อยากเชื่อว่าคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเลือกที่จะเดินตาม “ข้อเสนอแนะ” ของศาลรัฐธรรมนูญดังที่กล่าวไว้ในคำวินิจฉัยที่ 18-22/2555  ผมตอบคำถามไม่ได้ว่าทำไม !  ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการพิจารณาเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับต้องไปทำตามข้อเสนอแนะของศาลรัฐธรรมนูญ แทนที่จะสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนกลับไปเดินตามสิ่งที่ไม่ถูกต้อง น่าเสียดายแทนทุกสิ่งทุกอย่างครับ !!!  
                 สรุปแล้วเรื่องของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นอย่างไรคงตอบได้ยาก ประชามติครั้งแรกต้องใช้เงิน 2,000 กว่าล้านบาท เพื่อสอบถามประชาชนว่า “สมควรที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” หากประชาชนไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดและมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิมาออกเสียงเห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสสร.  สสร.ก็จะต้องไปจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อสสร. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วก็คงต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติอีกครั้งหนึ่งว่าจะรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสียเงินอีกกว่า 2,000 ล้านบาท
                 ระหว่างที่มีการดำเนินการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คงมีปัญหาเรื่องวุ่นวายตามมาเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาแล้วตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
                 ความสงบสุขคงหายไปจากประเทศไทยอีกระยะหนึ่งเป็นแน่ !!!
                
                 ตอนฉีกรัฐธรรมนูญใช้เวลาไม่กี่นาที ทำไมตอนจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มันถึงได้ยุ่งยากอย่างนี้ครับ !!!
                 
                  ในสัปดาห์นี้ เรามีบทความมานำเสนอ  5 บทความด้วยกัน บทความแรกเป็นบทความของ รองศาสตราจารย์เจริญศักดิ์ ศาลากิจ แห่งคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เขียนเรื่อง “วิธีทางกฎหมายจากหัวข้อข่าวกรณี”ข้อกล่าวหาการทุจริตในสถาบันอุดมศึกษา” บทความที่สองเป็นบทความของอาจารย์อานนท์ มาเม้า แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เขียนเรื่อง “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อ “คนไม่พิการ” โดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ”  บทความที่สามเป็นบทความของคุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ  ที่เขียนเรื่อง “จับตา ‘คดี 3จี’ จับตาท่าที ‘ศาลปกครองสูงสุด’” บทความที่สี่เป็นบทความเรื่อง “การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของออสเตรเลีย-บทเรียนสำหรับประเทศไทย” ที่เขียนโดยคุณทศพล เชี่ยวชาญประพันธ์ และ คุณทิพย์ศริน ภัคธนกุล นักศึกษาปริญญาเอก แห่งมหาวิทยาลัยแคนเบอร์รา (University of Canberra) กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย และบทความสุดท้ายคือบทความเรื่อง““กระจายอำนาจ”หรือ “คืนอำนาจ”สู่ท้องถิ่น” ที่เขียนโดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ  ผมขอขอบคุณเจ้าของบทความทั้งห้าบทความด้วยครับ
        
                 พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 2555 ครับ
       
                 ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์


พิมพ์จาก http://www.public-law.net/view.aspx?ID=1805
เวลา 18 เมษายน 2567 22:57 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)