ครั้งที่ 341

20 เมษายน 2557 23:32 น.

       สำหรับวันจันทร์ที่  21  เมษายน  ถึงวันอาทิตย์ที่  4  พฤษภาคม  2557
       
       “ศาลปกครอง  ศาลรัฐธรรมนูญ  และคุณถวิล  เปลี่ยนศรี”
        
                         ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร  มี “ความพยายาม” นำเหตุต่าง ๆ มาใช้เพื่อให้ “นายกรัฐมนตรี” และ “รัฐบาล” ต้องพ้นจากจากการทำหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจำนำข้าวที่ว่ากันว่าจะเป็น “ไม้ตาย” ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่พอคณะกรรมการ ปปช. ยังไม่สามารถ “จบ” เรื่องดังกล่าวได้และมีทีท่าว่าจะต้องใช้เวลาพิจารณาอีกระยะหนึ่ง  เรื่องของคุณถวิล  เปลี่ยนศรี จึงถูกนำมาใช้เป็นกรณีที่จะทำให้นายกรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ในขณะที่เขียนบทบรรณาธิการนี้เข้าใจว่าเรื่องของคุณถวิล  เปลี่ยนศรี ยังเป็น “ความหวัง” ของผู้ที่ต้องการให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งดังที่เป็นข่าวออกมารายวันทุกวัน
                         ความเป็นมาของกรณีคุณถวิล  เปลี่ยนศรี เป็นเรื่องน่าสนใจและมีประเด็นที่เกี่ยวกับกฎหมายมหาชนมากมาย เรื่องเริ่มจากคุณถวิล เปลี่ยนศรี  เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติถูกโอนย้ายไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำเมื่อเดือนกันยายน  2554  ซึ่งคุณถวิลฯ เห็นว่าการโอนดังกล่าวไม่เป็นธรรม  จึงได้ฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งโอน  ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งและประกาศโดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่คำสั่งและประกาศเกี่ยวกับการโอนมีผลใช้บังคับ  พร้อมกับมีข้อสังเกตว่า เมื่อคำสั่งและประกาศดังกล่าวถูกศาลเพิกถอนให้มีผลย้อนหลังย่อมมีผลทางกฎหมายว่า คุณถวิลฯ มิได้พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ  ผู้เกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการให้คุณถวิลฯ สามารถปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติโดยเร็ว ต่อมาเมื่อมีการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดก็มีคำพิพากษาโดยผลก็เป็นเช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น  คือเพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ให้คุณถวิลฯ พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ  สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับและให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้คุณถวิลฯ ได้กลับสู่ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติภายใน  45  วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา คือถึงวันที่  20  กุมภาพันธ์  2557
                         ต่อมานายไพบูลย์  นิติตะวัน  สมาชิกวุฒิสภาและคณะรวม  25  คน  ก็ได้ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีของคุณถวิลฯ  โดยเห็นว่าปัจจัยสำคัญในการโอนคุณถวิลฯ ให้พ้นจากตำแหน่งเดิมมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน  จึงเป็นการใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นนายกรัฐมนตรีเข้าไปแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ผู้อื่นหรือของพรรคการเมือง อันเป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 268  ประกอบกับ มาตรา 266 (2) และ (3) แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว  ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาแล้วมีมติเมื่อวันพุธที่ 2 เมษายน  2557 รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
                         หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องเรื่องคุณถวิลฯ ไว้พิจารณา ก็มีการนำเสนอความเห็นกันมากมายในทุกช่องทาง  มีคำถามสำคัญเกิดขึ้นว่าหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป  คณะรัฐมนตรีจะต้องพ้นตามนายกรัฐมนตรีไปด้วยหรือไม่  และใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป  ด้วยวิธีการใด ฯลฯ
                         เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายก็จะพบว่า บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตราที่ถูกนำมาใช้กับกรณีการโอนคุณถวิลฯ คือมาตรา 268 และ 266  ซึ่งมีเนื้อหาสรุปได้ว่า ห้ามนายกรัฐมนตรีเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่นหรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน ข้าราชการประจำ หรือการให้ข้าราชการประจำพ้นจากตำแหน่ง  เว้นแต่เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการตามนโยบายที่ได้แถลงต่อสภาหรือตามที่กฎหมายบัญญัติ  หากฝ่าฝืนก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 91, 92 และ 182 แห่งรัฐธรรมนูญคือให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพสิ้นสุดลงหรือไม่  ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพสิ้นสุดลง ความเป็นรัฐมนตรีก็ต้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัว
                         ทั้งหมดนี้คือข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณีการโอนย้ายคุณถวิลฯ ซึ่งขณะที่เขียนบทบรรณาธิการนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็ยังมิได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้แต่อย่างใด
                         ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น  เมื่อได้อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดอันเป็นที่มาของการนำเรื่องมาฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็ยังมีความสับสนในบางประการอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2-3  หน้าสุดท้ายของคำพิพากษายังมีความไม่ชัดเจนถึง “ความผิด” ของนายกรัฐมนตรี ในตอนหนึ่งของคำพิพากษา ศาลปกครองสูงสุดได้กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการประจำของส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาคย่อมมีอำนาจดุลพินิจในการบริหารงานบุคคลหมุนเวียนสับเปลี่ยนบทบาทหรือการทำหน้าที่ของข้าราชการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามแนวนโยบายที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาได้  แต่ในการใช้อำนาจดุลพินิจดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีนั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของกฎหมายและอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายแล้ว  ยังจะต้องมีเหตุผลรองรับที่มีอยู่จริงและอธิบายได้  ซึ่งไม่มีปรากฏข้อเท็จจริงว่านายกรัฐมนตรีได้อ้างเหตุผลในการโอนคุณถวิลฯ ว่าคุณถวิลฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ มีข้อบกพร่องหรือไม่สนองนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะถือได้ว่ามีเหตุผลอันสมควรที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งโอนได้ตามความเหมาะสม จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ การโอนคุณถวิลฯ จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
                         สรุปง่าย ๆ ก็คือ ศาลปกครองสูงสุดยอมรับว่าการหมุนเวียนสับเปลี่ยนบทบาทหรือการทำหน้าที่ของข้าราชการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาสามารถทำได้  แต่ต้องมีเหตุผลรองรับที่มีอยู่จริงและอธิบายได้ ซึ่งในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ให้โอนคุณถวิลฯ ไม่ได้มีรายละเอียดในส่วนของเหตุผล ศาลปกครองสูงสุดจึงสั่งเพิกถอนประกาศดังกล่าวเสีย
                         คำถามที่สงสัยก็คือ การที่ประกาศโอนคุณถวิลฯ ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐนมตรีฝ่ายข้าราชการประจำไม่มีเหตุผลรองรับที่มีอยู่จริงและอธิบายได้นั้น มีความร้ายแรงถึงขนาดที่ศาลปกครองสูงสุดจะต้องเพิกถอนประกาศดังกล่าวย้อนหลังไปถึงวันที่ประกาศมีผลใช้บังคับหรือไม่
                         ลองมาพิจารณาดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องการทำคำสั่งศาลปกครองโดยตรงคือพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539  กันก่อน  มาตรา  37  ได้วางหลักเอาไว้ในวรรคแรกว่า คำสั่งทางปกครองต้องจัดให้มีเหตุผล โดยเหตุผลอย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนการใช้ดุลพินิจ แต่ถ้าคำสั่งทางปกครองนั้นทำโดย ไม่ดำเนินการจัดให้มีเหตุผล  มาตรา 41 แห่งกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองก็บัญญัติ “ทางแก้” ความ “ไม่สมบูรณ์” ของคำสั่งดังกล่าวเอาไว้ว่า ถ้าได้มีการจัดให้มีเหตุผลในภายหลัง คำสั่งทางปกครองนั้นก็สมบูรณ์ บทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของคำสั่งทางปกครองและความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีเหตุผลในคำสั่งทางปกครอง แต่มิได้หมายความว่า การไม่ให้เหตุผลในคำสั่งทางปกครองจะทำให้คำสั่งทางปกครองนั้น “เสียไป”  แต่อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถนำเอาบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้กับกรณีของคุณถวิลฯ ได้เพราะการให้เหตุผลในภายหลังต้องทำก่อนที่จะมีการนำคำสั่งทางปกครองนั้นไปฟ้องต่อศาลปกครองตามที่บัญญัติไว้ในวรรคท้ายของมาตรา 41 แห่งกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองครับ
                         ที่ยกตัวอย่างกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาก็เพื่อให้เห็นว่า การไม่ให้เหตุผลในคำสั่งทางปกครองไม่เป็นเหตุให้คำสั่งทางปกครองนั้นเสียไป ยังสามารถทำให้คำสั่งทางปกครองนั้นมีความสมบูรณ์ได้ด้วยการจัดให้มีเหตุผลในภายหลังครับ !!!
                         เป็นที่ทราบกันดีว่า  ในระบบกฎหมายปกครองนั้น  เมื่อคำสั่งทางปกครองมีความไม่ชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้นไม่ว่าความไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นจะเกิดจากข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่นำมาใช้ในการออกคำสั่งทางปกครองจะมีข้อผิดพลาดหรือไม่ถูกต้อง  ศาลปกครองก็มีอำนาจที่จะเพิกถอนคำสั่งทางปกครองนั้นได้ แต่ก็ยังมีวิธีการอื่นที่ใช้กันในศาลปกครองฝรั่งเศส โดยศาลปกครองฝรั่งเศสอาจไม่เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมีข้อบกพร่องของข้อเท็จจริงที่นำมาใช้ในการออกคำสั่งทางปกครองได้ แต่ศาลปกครองอาจใช้วิธีเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่อยู่ในคำสั่งทางปกครองเสียใหม่ให้ถูกต้องเพื่อให้คำสั่งทางปกครองนั้นมีผลใช้บังคับได้ ซึ่งในเรื่องนี้ ผมไม่แน่ใจว่าศาลปกครองไทย “รู้จัก” วิธีการดังกล่าวหรือไม่ และถ้า “รู้จัก” ก็ไม่แน่ใจว่าจะกล้านำมาใช้หรือไม่ด้วยครับ !!!
                         นอกจากนี้แล้ว หากฝ่ายปกครองยังคงยืนยันว่าการโอนคุณถวิลฯ ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำเป็นสิ่งที่ต้องทำ  แม้ศาลปกครองจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศเรื่องการโอนคุณถวิลฯ แต่ฝ่ายปกครองเองก็มีอำนาจที่จะออกคำสั่งทางปกครองใหม่เพื่อโอนคุณถวิลฯ ได้เช่นเดียวกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งทางปกครองที่เกิดขึ้นมาจากการไม่มีเหตุผลในคำสั่งทางปกครอง  เมื่อศาลปกครองจะเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้  ฝ่ายปกครองก็ออกคำสั่งใหม่ได้  โดยในคำสั่งใหม่ก็เพิ่มส่วนที่ขาดเข้าไปคือให้เหตุผลในการโอนย้ายคุณถวิลฯ เอาไว้ในคำสั่งทางปกครองฉบับใหม่ แค่นี้ก็สิ้นเรื่องครับ !!!
                         แต่ประเด็นคงอยู่ที่ว่า ฝ่ายปกครองจะกล้าออกคำสั่งใหม่หรือไม่เท่านั้นเองครับ  ในปัจจุบันจะเห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายปกครองของเรา “ไม่กล้า” ทำอะไรทั้งนั้น นอกจากนี้แล้ว คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่เพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ให้คุณถวิลฯ พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา (ซึ่งข้อสังเกตดังกล่าวไม่มีสถานะเป็นคำบังคับของศาล) เอาไว้ว่า ควรที่จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้คุณถวิลฯ ได้กลับสู่ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติภายใน 45  วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา ฝ่ายปกครองก็เลยคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออก นอกจากรีบคืนตำแหน่งให้คุณถวิลฯ ตามข้อสังเกตของศาลปกครองสูงสุดครับ !!!          
                         ไหน ๆ เขียนเรื่องคุณถวิลฯไปแล้ว  คงต้องมาดูต่อถึงปัญหากฎหมายที่เกิดขึ้นในเวลานี้ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการโอนย้ายคุณถวิลฯ มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนแต่เป็นประโยชน์ส่วนตนหรือของผู้อื่นหรือของพรรคการเมืองแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
                         ผมให้สัมภาษณ์สื่อต่าง ๆ ไปหลายครั้งแล้วว่า กรณีมาตรา 181 แห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่า คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่  ก็หมายความว่ายังไง ๆ คณะรัฐมนตรีก็ต้องอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่  แม้ในทางปฏิบัติหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแค่เพียงคนเดียว  มาตรา 10 วรรคสี่ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 22538 ก็ได้วางกลไกเพื่อรักษาความต่อเนื่องของการบริหารราชการแผ่นดินเอาไว้ว่า ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี  แต่ถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน  ในทางกลับกัน หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ คณะรัฐมนตรีต้อง “มีอันเป็นไป” พร้อมนายกรัฐมนตรี  ที่เคยปฏิบัติกันมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยังไม่มี นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เช่นในช่วงเวลาที่มีรัฐประหาร  รัฐธรรมนูญถูกฉีกทิ้งและคณะรัฐประหารยังไม่ได้ตั้งบุคคลเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี  หัวหน้าคณะรัฐประหารก็จะให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่แทนรัฐมนตรี  ตัวอย่างเช่นในการรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2547  ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 19 กันยายน 2547  เรื่องอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน ข้อ 2 กำหนดไว้ว่า “ในระหว่างที่ยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้บรรดาอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นอำนาจหน้าที่ที่ของรัฐมนตรีว่ากระทรวงใดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของปลัดกระทรวงนั้น...”  แนวทางปฏิบัติดังกล่าวมีความเป็นเหตุเป็นผลอยู่ในตัวเพราะมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534  ก็ได้กำหนดให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการของส่วนราชการในกระทรวงรองจากรัฐมนตรี  ดังนั้นถ้าไม่มีรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงก็ย่อมจะใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีในกระทรวงได้
                         ตัวบทกฎหมายที่นำเสนอไปข้างต้นก็เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า ไม่มีทางตันสำหรับการบริหารราชการแผ่นดินครับ  ต่อให้ไม่มีฝ่ายการเมือง  ฝ่ายประจำก็ยังสามารถจัดการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้
                         เพื่อแก้ปัญหาคาราคาชังที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน สิ่งที่ต้องรีบดำเนินการเร็วที่สุดก็คือจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มี “ฝ่ายการเมือง” เข้ามาทำหน้าที่ของตนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายโดยเร็ว
                         เว้นไว้แต่เพียงว่า  ถ้าต้องการวิ่งเข้าไปหาทางตัน  นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  การใช้มาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญอันเป็นสิ่งที่ผู้คนจำนวนหนึ่งรอคอยอย่างใจจดใจจ่อจะเกิดขึ้นได้หากหลาย ๆ ฝ่ายร่วมมือกันสร้างทางตันให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ต่างก็กำหนดให้มีทางออกเอาไว้ทุกเรื่องครับ !!!
       
                       ในสัปดาห์นี้ เรามีบทความมานำเสนอเพียงบทความเดียว คือบทความเรื่อง “เหตุเพราะความเชื่อทางการเมือง” ที่เขียนโดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง ขอขอบคุณคุณชำนาญฯ ที่มีส่วนร่วมกับเราสม่ำเสมอตลอดเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมาครับ
        
                         พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม 2557 ครับ
       
                         ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์


พิมพ์จาก http://www.public-law.net/view.aspx?ID=1955
เวลา 20 เมษายน 2567 04:19 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)