ครั้งที่ 356

18 กุมภาพันธ์ 2561 18:30 น.

       การรับใช้ชาติด้วยวิธีการอื่นนอกจากการเป็นทหาร
       
       เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวในหนังสือพิมพ์ของฝรั่งเศสว่า ประธานาธิบดี Emmanuel Macron ของฝรั่งเศสดำริว่าจะให้นำระบบการรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารกลับมาใช้บังคับอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ประธานาธิบดี Jacques Chirac ได้สร้างระบบทหารอาชีพขึ้นมาและยกเลิกการรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997
       
       เหตุผลคงไม่มีอะไรมากเพราะมีข่าวออกมาว่าประธานาธิบดีคนนี้เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่เคยเข้าไปรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารเนื่องจากเกิดมาในช่วงเวลาที่ยกเลิกการรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารไปแล้ว ประธานาธิบดีมองว่า การเป็นทหารเป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิต ช่วยสร้างความรักชาติและการมีส่วนร่วมในสังคม จึงคิดจะนำระบบการรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารกลับมาอีก
       
       การให้พลเมืองฝรั่งเศสเป็นทหารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานมากแล้วโดยกฏหมายฉบับลงวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1798 ได้กำหนดให้พลเมืองชายสัญชาติฝรั่งเศสที่มีอายุตั้งแต่ 20 ถึง 25 ปีทุกคนต้องผ่านการเป็นทหาร กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับเรื่อยมาจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1997 ประธานาธิบดี Jacques Chirac จึงได้ตัดสินใจสร้างระบบทหารอาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพทหารและยกเลิกการรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารซึ่งทำมาเป็นเวลานาน แต่ในอีก 20 ปีต่อมาคือในปี ค.ศ. 2017 ประธานาธิบดี Emmanuel Macron ได้กล่าวในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีว่าเขามีความประสงค์ที่จะรื้อฟื้นระบบการรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยมองว่าการรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารควรทำเป็นระยะเวลาสั้นๆคือประมาณหนึ่งเดือน การรับใช้ชาติในระยะสั้นดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่บังคับให้ต้องทำและจะทำเป็นการทั่วไปเหมือนกันทั้งประเทศ
       
       ล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Emmanuel Macron ก็ได้กล่าวขยายความเรื่องการรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารเอาไว้ว่า เร็วๆนี้จะมีการออกกฎหมายมากำหนดให้พลเมืองฝรั่งเศสต้องเข้ามารับใช้ชาติ มีกำหนดเวลาสามเดือนถึงหกเดือนแต่อาจยาวกว่านั้นก็ได้ ประธานาธิบดีกล่าวว่าเขาต้องการให้มีการทำงานรับใช้ชาติภาคบังคับสำหรับพลเมืองทั้งเพศชายและเพศหญิงในภารกิจเกี่ยวกับการทหารหรือไม่ก็ภารกิจของพลเรือน เพราะหากกำหนดเป็นภาคบังคับว่าพลเมืองที่อายุครบเกณฑ์ก็ให้เข้ามารับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารก็จะเป็นการสร้างภาระทางด้านการงบประมาณของประเทศเป็นอย่างมากเนื่องจากจะต้องมีการใช้เงินในการดำเนินการต่างๆรวมถึงการสร้างค่ายทหารเพิ่มขึ้นด้วย ต่อมา โฆษกรัฐบาลก็ออกมากล่าวได้กล่าวยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าการรับใช้ชาตินี้จะเป็นหน้าที่ หมายความว่าอาจจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่คนหนุ่มสาวจะต้องเข้ามารับใช้ชาติซึ่งการรับใช้ชาติอาจจะเป็นการรับใช้ชาติด้วยการเข้าไปเป็นทหารหรืออาจจะเป็นการรับใช้ชาติทางด้านพลเรือนก็ได้ การรับใช้ชาติทางด้านพลเรือนก็คือการอุทิศเวลาส่วนตัวให้กับประเทศชาติ แต่ก็ยังไม่ได้มีการระบุให้ชัดเจนว่าจะอุทิศเวลากันอย่างไรและจะไปทำอะไร คาดเดากันว่าน่าจะเป็นการให้เข้าไปทำงานด้านเกี่ยวกับสังคม สิ่งแวดล้อมหรือวัฒนธรรม
       
       ในสภาผู้แทนราษฎรก็ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการรับใช้ชาติซึ่งขณะนี้รายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการดังกล่าวยังไม่ออกสู่สาธารณชน แต่มีการให้ข่าวออกมาว่าในรายงานของคณะกรรมาธิการจะมีการกำหนดกิจกรรมสำหรับพลเมืองให้แก่ชาวฝรั่งเศสที่มีอายุตั้งแต่ 11 ปีถึง 25 ปีโดยแบ่งกิจกรรมเหล่านั้นออกเป็นสามกิจกรรมด้วยกัน กิจกรรมที่หนึ่งสำหรับเด็กที่มีอายุ 11 ปีถึง 16 ปีจะเป็นกิจกรรมที่สอนให้เด็กรู้จักรักชาติและหน้าที่ของความเป็นพลเมือง จะเป็นการจัดกิจกรรมปีละหนึ่งสัปดาห์โดยจะทำในวันและเวลาเดียวกันทั่วประเทศและจะทำอยู่ในโรงเรียน หัวข้อที่จะทำกิจกรรมก็คือการป้องกันภัย ความปลอดภัย หน้าที่ สิทธิและข้อผูกพันต่างๆที่พลเมืองมีต่อรัฐ กิจกรรมที่สองจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจะฝึกหรือสร้างความเข้าใจ กิจกรรมที่สองจะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับพิธีเปลี่ยนผ่าน (rite de passage) จากเด็กไปสู่วัยรุ่น โดยจะให้เยาวชนมาอยู่ร่วมกัน ได้พบปะพูดคุยกัน ช่วงเวลาของกิจกรรมที่สองนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนักและเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในเวลาเรียนด้วย ตอนจบของกิจกรรมที่สองจะเป็นพิธีที่เป็นทางการซึ่งตัวแทนของรัฐก็จะมอบหนังสือสำคัญของความเป็นพลเมืองให้กับเยาวชนมี่ผ่านกิจกรรมนี้ทุกคน ส่วนกิจกรรมที่สามก็คือขั้นตอนสำหรับเยาวชนอายุ 16 ปีถึง 25 ขั้นตอนนี้อาจจะเป็นขั้นตอนที่เยาวชนต้องทำหน้าที่เข้ามารับใช้ชาติด้วยการรับใช้ระบบราชการหรือเตรียมตัวเพื่อที่จะเป็นทหาร ในรายงานของคณะกรรมาธิการดังกล่าวยังปรากฏแนวความคิดที่จะเอาระบบการเข้าไปเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ยกเลิกไปตั้งแต่ปี 1997 แต่ในครั้งนี้จะเป็นในลักษณะที่ให้สมัครใจมากกว่าเป็นการบังคับเพราะถ้าเป็นการบังคับ เมื่อคนเหล่านั้นเป็นทหารจนครบระยะเวลาเกณฑ์ทหารก็จะต้องกลับมาเข้าโรงเรียนอีกครั้งหนึ่งซึ่งก็จะมีปัญหาในเรื่องเรียนที่อาจจะตามเพื่อนไม่ทันหรือไม่ก็ต้องมาเรียนต่อเมื่ออายุมากกว่าเพื่อนๆในห้อง เพราะฉะนั้นในรายงานของคณะกรรมาธิการจึงไม่ได้กำหนดว่าจะให้มีการเกณฑ์ทหารภาคบังคับแต่จะให้เป็นทางเลือกว่าใครบ้างที่ต้องการที่จะเป็นทหาร อย่างไรก็ตาม คงจะใช้เวลาอีกสักพักนึงกว่ารายงานของคณะกรรมาธิการนี้จะออกสู่สาธารณชน เพราะฉะนั้นโดยสรุปที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ก็คือประเทศฝรั่งเศสซึ่งยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหารไปนานแล้วเพราะการเกณฑ์ทหารแม้จะทำให้ได้คนเข้ามาเป็นทหารแต่ก็ส่วนหนึ่งก็ไม่สามารถทำการสู้รบได้ไม่ได้มีจิตใจที่อยากเป็นทหารแต่ต้น ดั้งนั้นในปัจจุบันในประเทศฝรั่งเศส การเป็นทหารก็คือการประกอบอาชีพหนึ่ง แต่เมื่อประธานาธิบดีฝรั่งเศสมีดำริที่จะให้มีการเรียกพลเมืองวัยหนุ่มสาวกลับมารับใช้ประเทศชาติด้วยการเป็นทหารอีกครั้งหนึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่จะติดตามต่อไปว่าประเทศฝรั่งเศสจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ
       
       โครงการเกณฑ์ทหารรับใช้ชาติของประเทศฝรั่งเศสนี้คาดว่าจะมีผู้อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเข้าร่วมระหว่าง 600,000 ถึง 800,000 คน ความชัดเจนของโครงการจะมีขึ้นภายในเดือนเมษายนนี้และจะเริ่มทดลองทำตั้งแต่ตอนต้นปี ค.ศ. 2019 ครับ
       
       ส่วนในประเทศไทยนั้นคงไม่ต้องพูดถึงนะครับ การเกณฑ์ทหารเป็นไปตามกฎหมายเก่าก็คือ พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ที่กำหนดให้ชายไทยตามกฏหมายมีหน้าที่ต้องเข้ารับราชการทหารด้วยตนเองทุกคน แต่ก็มีข้อยกเว้นคือถ้ามีการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรที่กระทรวงกลาโหมกำหนดหรือมีเหตุได้รับการยกเว้นหรือผ่อนผันได้ตามที่กฎหมายกำหนดทำให้ไม่ต้องไปรับการตรวจคัดเลือก แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบกันดีนะครับเพราะมีข่าวออกมาอยู่ตลอดเวลาว่ามีการช่วยให้คนบางคนพ้นจากการรับราชการทหารโดยวิธีการต่างๆนานาซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าในประเทศไทยเรานั้นก็จะมีคนอยู่จำนวนหนึ่งที่เข้าไปเป็นทหารอาชีพและมีอีกจำนวนหนึ่งที่เข้าไปเป็นทหารด้วยวิธีการเกณฑ์ทหารและก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งที่หนีการเกณฑ์ทหารและหลีกเลี่ยงการเข้ารับราชการทหาร เพราะฉะนั้นในกรณีของฝรั่งเศสที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้จึงเป็นเรื่องน่าสนใจและน่าติดตามว่า หากมีการกำหนดให้พลเมืองต้องรับใช้ชาติในหลากหลายรูปแบบไม่จำกัดอยู่เฉพาะต้องเป็นทหารแต่เพียงอย่างเดียวก็อาจเป็นทางเลือกที่น่าพิจารณาพอสมควรเพราะอย่างน้อย หากเราจะคงเรื่องการเกณฑ์ทหารเอาไว้ในประเทศไทย ก็น่าจะมีทางเลือกสำหรับคนที่ไม่อยากเป็นทหารหรือไม่ชอบทหารที่จะได้ไปใช้เวลารับใช้ชาติในหน่วยงานอื่นซึ่งมิใช่หน่วยงานทางทหารก็ได้นะครับ
       
       ในสัปดาห์นี้เรามีบทความมานำเสนอ  2 บทความด้วยกัน บทความเเรกเป็นบทความของคุณ ชำนาญ จันทร์เรือง ที่เขียนเรื่อง "สภาพลเมืองเชียงใหม่ : ประชาธิปไตยที่ปฏิบัติได้" บทความที่สองเป็นบทความของคุณ พิรุณ ภูภักดิ์ ที่เขียนเรื่อง "การปฏิวัติที่ไม่สมประกอบ : ผ่านความคิดที่ถูกครอบโดยภาษา-ศาสนา" ผมขอขอบคุณเจ้าของบทความทั้งสองบทความด้วยครับ
       
        พบกันใหม่วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561 ครับ
       
        ศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์


พิมพ์จาก http://www.public-law.net/view.aspx?ID=2007
เวลา 19 เมษายน 2567 21:45 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)