คนอยากเลือกตั้งทำไม – ทำไมคนอยากเลือกตั้ง

16 เมษายน 2561 12:45 น.

       สิ่งที่เยาวชนคนหนุ่มสาวและคนหลากหลายอายุได้รวมตัวกันขึ้นมาเป็นกลุ่ม “คนอยากเลือกตั้ง”แล้วพากันชุมนุมแสดงออกเพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 และเรียกร้องให้ คสช.ลาออกจากตำแหน่ง คงเหลือเพียงการเป็นรัฐบาลรักษาการ ฯลฯ จนถูกดำเนินคดีกันเป็นจำนวนถึง 143 คน(คดีหน้ามาบุญครอง 39 คน,คดีที่ถนนราชดำเนิน 50 คน,คดีหน้ากองทัพบก 47 คน และคดีที่พัทยา 7 คน) ได้สร้างข้อสงสัยว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงพากันออกมาเรียกร้องทั้งๆที่รู้ว่าในที่สุดจะต้องถูกดำเนินคดี หรือทั้งๆที่รัฐบาลบอกแล้วว่าอย่างไรเสียก็จะต้องมีการเลือกตั้งภายในกุมภาพันธ์ 2562 อยู่แล้ว
       1.การเลือกตั้งคืออะไรและสำคัญอย่างไร 
       การเลือกตั้งเป็นวิธีการคัดสรรคนเพื่อเข้าไปทำกิจกรรมทางการเมือง การเลือกตั้งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน(representative democracy) เพราะเราไม่สามารถให้ประชาชนทุกคนเข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยในสถาบันนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการได้ ฉะนั้น จึงต้องมีกระบวนการคัดสรรตัวบุคคลเพื่อเข้าไปใช้อำนาจแทนตนเอง ซึ่งวิธีการที่ว่านี้ก็คือ การเลือกตั้ง(election)นั่นเอง และหลักการของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยนั้นจะต้องประกอบไปด้วยหลักของความที่เป็นการทั่วไป(in general), เป็นอิสระ(free voting), มีระยะเวลาที่แน่นอน(periodic election), เป็นการลงคะแนนลับ(secret voting), หนึ่งคน หนึ่งเสียง(one man one vote) และต้องมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม(fair election) เพราะประทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก็มีการเลือกตั้งเหมือนกันแต่ไม่ได้ใช้หลัก 6 ประการที่ว่านี้ โดยเป็น “การบังคับเลือก”ว่าจะเอาหรือไม่เอา หรือเลือกตั้งในกติกาที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น
       2.ทำไมถึงเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 ทั้งๆที่รัฐบาลยืนยันว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 อยู่แล้ว
       เพราะตลอดการมีอำนาจของ คสช. 4 ปี มีการเลื่อนโรดแมปเลือกตั้งมาแล้ว 4 ครั้ง
       ครั้งที่ 1: จากปลายปี 2558 สู่การเริ่มนับหนึ่งใหม่ด้วยการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
       เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 พลเอก ประยุทธ์ แถลงข่าวร่วมหลังการหารือกันระหว่างนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น บอกว่าไทยจะมีการเลือกตั้งในปลายปี 2558 หรือต้นปี 2559
       ครั้งที่ 2: จากกลางปี 2560 สู่ปลายปี 2560
       พลเอก ประยุทธ์ กล่าวกับ นายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ระหว่างการประชุมสหประชาชาติ ครั้งที่ 70 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 กันยายน ถึง 1 ตุลาคม 2558 ว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปได้ภายในกลางปี 2560 แต่ก็ไม่เกิดขึ้น
       ครั้งที่ 3: จากปลายปี 2560 สู่ปลายปี 2561
       การเลือกตั้งไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในช่วงปลายปี 2560 เนื่องจากรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ดังนั้น กระบวนการร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับให้เสร็จภายใน 8 เดือนจึงเพิ่งเริ่มนับหนึ่งได้ ตามโรดแมปนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะผ่านร่างกฎหมายลูกครบ 10 ฉบับภายในเดือนมกราคม 2561 และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายปี 2561
       ครั้งที่ 4: จากพฤศจิกายน 2561 สู่กุมภาพันธ์ 2562 และสู่ความไม่แน่นอน
       โรดแมปการเลือกตั้งของ คสช. ที่ชัดเจนที่สุดปรากฏขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2560 หลังจากพลเอก ประยุทธ์ บินไปเยือนทำเนียบขาวเพื่อพบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ประกาศกลางทำเนียบรัฐบาลว่าในเดือนมิถุนายน 2561 จะประกาศวันเลือกตั้ง ส่วนในเดือนพฤศจิกายน 2561 จะให้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไป
       แต่ในที่สุดสัญญาณเลื่อนการเลือกตั้งก็ปรากฏชัดเจนขึ้นจนได้ เมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีมติเสียงข้างมาก ปรับแก้ในมาตรา 2 เกี่ยวกับการกำหนดวันบังคับใช้กฎหมายให้มีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน(ซึ่งไม่มีใครไม่เชื่อว่าไม่ได้รับสัญญาณจาก คสช.) จึงตีขลุมเอาว่าต้องยืดระยะเวลาไปอีก 3 เดือน จากเดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562
       ฉะนั้น จึงไม่มีความแน่นอนใดๆที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ทั้งๆที่หากกระทำโดยเร่งรัดแล้วก็ยังสามารถเลือกตั้งได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ดี แม้ว่าจะมีการยืดการบังคับใช้พรป.ส.ส.ออกไปอีก 90วันและส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความด้วยก็ตาม เพราะฝ่ายรัฐบาลได้ประกาศไว้อยู่แล้วว่าไม่กระทบต่อ  โรดแมปเดิมแต่อย่างใด
       3.เหตุใดจึงเรียกร้องให้ คสช.ยุติหน้าที่หรือลาออกทั้งๆที่สมัยรัฐบาลปกติก็ยังรักษาการจนมีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ กอรปกับรัฐธรรมนูญฯปัจจุบันก็บัญญัติให้คสช.ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่
       เป็นการเรียกร้องให้ยุติการทำหน้าที่ คสช. ไม่ได้เรียกร้องให้ลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการแต่อย่างใด จริงอยู่ที่รัฐธรรมนูญฯมาตรา 265 บัญญัติให้ คสช.ทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ แต่ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯใดที่บัญญัติห้ามมิให้ คสช.ลาออก ฉะนั้น หากจะอ้างว่าทีรัฐบาลปกติยังรักษาการใด้ แต่นั่นเป็นคณะรัฐบาลซึงไมใช่ คสช.ที่มีอำนาจล้นฟ้าด้วยมาตรา 44 เช่นนี้
       ข้อเรียกร้องฯทั้งหมดนี้อาจจะดูเหมือนว่าจะปฏิบัติได้ยาก แต่ก็สามารถปฏิบัติได้ หาก คสช.ตั้งใจที่จะทำในฐานะที่เป็นคนกลาง และหากปฏิบัติได้เช่นนี้บ้านเมืองก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติที่ผู้คนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและสันติ
       แต่หากยังคงจำกัดสิทธิเสรีภาพและดำเนินคดีต่อผู้ที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญฯปัจจุบันที่ผ่านประชามติรับรองไว้ อีกทั้งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่เราไปให้สัตยาบันไว้ก็บัญญัติรับรองไว้เช่นกัน การกระทำเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ผลกระทบที่ตามมาย่อมตกแก่ประเทศไทยและคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
       หมดยุคสมัยที่จะใช้คำว่าข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวหรือกลุ่มเดียวแล้วครับ
        
       -------------


พิมพ์จาก http://www.public-law.net/view.aspx?ID=2018
เวลา 28 มีนาคม 2567 16:14 น.
Pub Law Net (http://www.pub-law.net)