หน้าแรก บทความสาระ
สภาพวิชาการทางกฎหมายของประเทศไทย : สาเหตุแห่งความล้มเหลวของการปฏิรูปการเมือง ครั้งที่ ๒ (หน้า ๒๗)
ศ. ดร. อมร จันทรสมบูรณ์
3 มีนาคม 2551 16:17 น.
 
ในบทความนี้ ผู้เขียนได้นำ “ตัวอย่าง”ของกฎหมายต่างประเทศที่มี “คุณภาพ”มาให้ผู้อ่านได้รับทราบไว้แล้วเพื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายของไทย เช่น กฎหมายว่าด้วยการค้าของสหรัฐอเมริกา – Section 301 ; และเช่นเดียวกัน ในบทความนี้ ผู้เขียน ผู้เขียนก็ได้กล่าวถึง “ตัวอย่าง” ของ เอกสารประกอบร่างกฎหมายของไทย ที่ต่ำกว่า “มาตรฐานสากล”อย่างมาก คือ “คำชี้แจง สาระสำคัญ ของ(ร่าง)รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน” ที่จัดทำโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ – นานาอาชีพ ในปีที่แล้วมา( พ.ศ. ๒๕๕๐) ; “ คำชี้แจงฯ”นี้ ถือว่า เป็นเอกสารทางวิชาการกฎหมายที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย เท่าที่เราเคยมีมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ เพราะเป็น “เอกสาร”ที่จัดทำขึ้นสำหรับเผยแพร่แก่ประชาชนทั่วไป(ในการทำความเข้าใจกับร่างรัฐธรรมนูญถาวรฉบับใหม่) เพื่อการออกเสียงประชามติ – referendum ที่จัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ; “เอกสาร”นี้ เป็นเอกสารที่จัดเตรียม (ทำ)โดยนักกฎหมายในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ถือว่าเป็น “นักกฎหมาย”ที่เก่งที่สุดและดีที่สุดของประเทศไทยที่ประเทศไทยจะพึงมี เพราะเป็นนักกฎหมายที่คัดสรรมาจากบรรดานักกฎหมายจำนวนมากของเรา ; แต่ปรากฏว่า “นักกฎหมาย”ของเรา ทำได้เพียงเท่าที่เห็นอยู่ใน “เอกสารคำชี้แจง ฯ” ดังกล่าว ; และถ้าท่านผู้อ่านท่านใดมีโอกาส ก็ขอได้โปรดไปอ่าน “เอกสารประกอบร่างกฎหมาย”ของประเทศที่พัฒนาแล้วที่เขาเขียนกันเป็นปกติ ท่านก็จะทราบด้วยตนเองว่า ความรู้ของนักกฎหมายไทย อยู่ในระดับใด
       
       และนอกจากนั้น คณะปฏิรูปการปกครองควรต้องทราบด้วยว่า “ความคิดของนักร่างกฎหมายแบบไทย ๆ ”ที่คิดจะเขียนรัฐธรรมนูญ(ฉบับถาวร) กำหนดให้ “สภานิติบัญญัติ”มีองค์ประกอบ(บุคคล)สมาชิก ที่เป็นนักกฎหมาย (ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการแต่งตั้ง) มาช่วยพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายในสภานิติบัญญัติ เพื่อให้กฎหมายมีคุณภาพดีขึ้นนั้น ประเทศที่พัฒนาแล้ว (เขา)เลิกความคิดเช่นนี้ไปนานแล้ว
       สมาชิกสภานิติบัญญัติ(ของเขา )เป็นสถาบันการเมืองที่มีหน้าที่สำคัญสำหรับการพิจารณากฎหมายในด้านนโยบายและหลักการ ; แต่การควบคุม “คุณภาพ”และ “ประสิทธิภาพ”ของการออกแบบกลไกในร่างกฎหมายของประเทศที่พัฒนาแล้ว จะขึ้นอยู่กับ ระบบการทำ “บันทึกประกอบร่างกฎหมาย” ที่จัดทำโดยนักกฎหมายในระดับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีหน้าที่ต้องวิเคราะห์และให้ “ความเห็น(ทางกฎหมาย)” อย่างเป็นกลาง และมีมาตรฐาน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการ “หมก”ประเด็น ทั้งของนักการเมืองและของข้าราชการประจำในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง (ไว้ในร่างกฎหมาย ) [โปรดย้อนไปดู Legislation Handbook ของออสเตรเลีย ที่ผู้เขียนนำมายกให้ดูเป็น “ตัวอย่าง” ในตอนต้น ๆ ของบทความนี้]
       บันทึกประกอบร่างกฎหมายดังกล่าวนี้ เป็นบันทึกที่ต้อง เปิดเผยต่อสาธารณะ และต้องเสนอต่อสภานิติบัญญัติพร้อมกับการเสนอร่างกฎหมาย ; งานการร่างกฎหมายในโลกปัจจุบันนี้ ได้กลายเป็นเทคนิคทางวิชาการ ที่ผู้เขียนมีความเห็นว่า เกินกว่า ความสามารถของนักกฎหมาย(ไทย)ในขณะนี้ จะทำได้ ; ทั้งนี้ โดยผู้เขียนประเมินได้จาก การเปรียบเทียบ ระหว่าง “ผลงานวิจัย”ในระดับที่นักวิชาการทางกฎหมายของเราได้รับทุนอุดหนุนจากแหล่งต่าง ๆและพิมพ์เผยแพร่อยู่ในขณะนี้ กับ “เอกสารประกอบร่างกฎหมาย”ที่นักกฎหมายของประเทศที่พัฒนาแล้วจัดทำเป็นปกติในการเสนอร่างกฎหมาย(ของเขา)ต่อสภานิติบัญญัติ(ของเขา) ; และผู้เขียนเห็นว่า บรรดานักกฎหมายของเราที่ชอบชี้แจงด้วย“วาจา” แต่ไม่ยอมหรือไม่กล้าเขียนความเห็นของตน ออกมาเป็นเอกสารที่เป็นบันทึกลายลักษณ์อักษร (เพื่อให้สาธารณะได้ ตรวจสอบความรู้) ย่อมไม่อาจนับว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ(กฎหมาย)”ได้ เพราะการที่จะรู้ว่า กฎหมายฉบับใด เป็นกฎหมายที่ดีหรือไม่ดี คงมิใช่เป็นเรื่องของการโต้เถียง หรือการโต้วาที หรือการออกรายการทีวี

       
       จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เนื่องจากคณะปฏิรูปการปกครองฯ มองไม่เห็นความสำคัญของ “ภารกิจ – การบริหารราชการแผ่นดิน”ในช่วงของการรัฐประหาร เสียแล้ว ดังนั้น ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า คณะปฏิรูปการปกครองฯ ก็ย่อมไม่มี “ความรู้” พอที่จะคิดไกลไปถึงบทบาทของตนเองในการประสานงานระหว่างสถาบันและองค์กรสำคัญ และ การรวมศูนย์การร่างกฎหมาย ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ (๓) นี้
       ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว “ภารกิจ – การบริหารราชการแผ่นดิน( ในช่วงเวลาอันจำกัด )”นี้ ยากกว่า “ภารกิจ – การจัดให้มีรัฐธรรมนูญถาวร ฉบับใหม่” เพราะมีปัญหาอย่างหลากหลาย ; และการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารในบางเรื่อง ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าการวางรูปแบบ form of government ในรัฐธรรมนูญถาวรฉบับใหม่เสียอีก เช่นเรื่อง การแก้ไขสภาพพิกลพิการของ “กระบวนการยุติธรรมในทางอาญา” ของประเทศไทย เป็นต้น ; แต่การที่บทความนี้ พูดถึงเฉพาะ เรื่อง “form of government “ในรัฐธรรมนูญ ( ฉบับถาวร ) ก็เพราะว่า ปัญหาเรื่อง form of government เป็นเรื่องที่ “สำคัญที่สุด”ในการกำหนดระบบสถาบันการเมืองที่ใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ; และถ้าสมมติว่า รัฐธรรมนูญไทยมี “ระบบสถาบันการเมือง”ที่ดีแล้ว เรา(คนไทย)จึงค่อยคิดแก้ “กฎหมาย”ในเรื่องอื่นต่อไป
       ผู้เขียนหวังอยู่ว่า า เมื่อใด ที่นักกฎหมายและนักวิชาการไทย สามารถพัฒนา “วิธีคิด”ของตน ให้เป็นไปหลักตรรก – logic ของกฎหมายมหาชนที่อยู่บนพื้นฐานของสังคมวิทยา( ศตวรรษที่ ๒๐) และเลิก “สอน”คนไทย ว่า “ระบบเผด็จการ (ในระบบรัฐสภา) โดยพรรคการเมือง ” ตามรัฐธรรมนูญของไทย ที่มีบทบัญญัติให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง / ให้อำนาจพรรคการเมืองมีอำนาจบังคับให้ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามมติพรรค / ให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. (เท่านั้น) ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลกนี้ เป็นระบอบประชาธิปไตย ; เมื่อนั้น ประเทศไทยจึงจะแก้ปัญหาความเสื่อมของการบริหารประเทศที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น(ทั้งทางตรงและทางอ้อม) ได้ [ หมายเหตุ :- ผู้เขียนจะได้กลับมากล่าวถึง ปัญหาการปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับระบบบริหารประเทศ นี้อีกครั้งหนึ่ง ในส่วนที่ (๓) ว่าด้วยขอบเขตของ “การปฏิรูปการเมือง ของประเทศ(ด้อย)กำลังพัฒนา” เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจโดยสังเขปว่า กฎหมายอะไร ที่เป็น “( กฎหมาย ) ระบบบริหารพื้นฐานของประเทศ ” และกฎหมายของประเทศไทย มีความพิกลพิการอย่างไร จึงเป็นสาเหตุของการทุจริดคอร์รัปชั่นได้ โดยไม่สิ้นสุด ]
       
       “ภารกิจในการทำรัฐประหาร” ทั้งในด้านการจัดให้มีรัฐธรรมนูญถาวรฉบับใหม่ และในด้านการบริหารราชการแผ่นชั่วคราวในระหว่างการทำรัฐประหาร (ซึ่งรวมถึงการเริ่มต้นการปฏิรูปกฎหมายในระบบบริหารประเทศ) มิใช่เป็นสิ่งที่ทำให้สำเร็จได้โดยง่าย แต่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นภารกิจที่จำเป็นจะต้องทำ ก่อนที่ประเทศจะล้มละลายทรัพยากรของชาติจะหมด เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่น และสายเกินไปที่จะ “ปฏิรูปการเมือง” ; แต่ในการที่จะทำให้ภารกิจ ฯ สำเร็จได้ คณะปฏิรูปการปกครองฯ จะต้องเสียสละ คือ ต้องไม่คิดสืบทอดอำนาจ และในระหว่างการบริหารประเทศชั่วคราว คณะปฏิรูปการปกครองฯ จะต้องใช้อำนาจรัฐอย่างโปร่งใส และไม่แสวงหาประโยชน์เข้าตัวเอง เพื่อแสดงความจริงใจ และทำให้ประชาชนมีความศรัทธาและเชื่อถือ
       
       สรุปโดยรวม ในหัวข้อ “ elite ประเภทที่ (๑) ของสังคมไทย” (นักการเมือง(จำเป็น)ที่ได้อำนาจรัฐมาด้วย “การรัฐประหาร”)
       
ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า ความล้มเหลวของการปฏิบัติตามภารกิจนี้ สามารถคาดคะเนได้ล่วงหน้าตั้งแต่ระยะแรกของการรัฐประหาร (วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙) คือ สามารถทราบได้ตั้งแต่วันที่คณะปฏิรูปการปกครองประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๔๙ (วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙) คือ ๑๑ วันหลังการรัฐประหาร เพราะ “สาระ” ของระบบสถาบันการเมืองในรัฐธรรมนูญชั่วคราวดังกล่าว ไม่มีความสัมพันธ์กับ “ภารกิจของการรัฐประหาร”
       รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว ) พ.ศ. ๒๕๔๙ จึงได้กลายเป็น “เตรื่องมือ”ที่ทำลายตนเอง และเป็น “สิ่ง”ที่สลายความเข้มแข็งของคณะปฏิรูปการปกครองฯ ในการแก้ปัญหาประเทศในช่วงของการรัฐประหาร(ถ้าคิดจะแก้) และในขณะเดียวกัน ก็ทำลายความหวังของคนไทย ในการปฏิรูปการเมือง
       
“คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ไม่มีสิทธิที่จะไปตำหนิสถาบันใดหรือองค์กรใด ไม่ว่า จะเป็น “สภาร่างรัฐธรรมนูญ - นานาอาชีพ” / “นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี”/ หรือ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” เพราะสถาบันหรือองค์กรเหล่านี้ เป็น สิ่งที่ “คณะปฏิรูปการปกครอง ฯ”ได้เป็นผู้จัดตั้งขึ้นมาเอง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙
       “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”ไม่มีสิทธิแม้แต่จะไปตำหนิ “นักกฎหมาย”ที่มาช่วยยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวดังกล่าว เพราะในการทำรัฐประหาร คณะปฏิรูปการปกครอง ถูกสันนิษฐานว่า (ควร)จะต้องมี “ความรู้ (พื้นฐาน)” พอที่อ่านและทราบล่วงหน้าได้ว่า รูปแบบการจัดองค์กร ของ “สถาบัน”ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๔๙นั้น ไม่สามารถที่จะปฎิบัติ “ภารกิจของการรัฐประหาร”ให้ลุล่วงไปได้
       
       ขณะนี้ ต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ผู้เขียนคิดว่า“นักการเมือง(จำเป็น)”ที่บังเอิญได้อำนาจรัฐมาด้วยการ “รัฐประหาร” คงจะมีเวลาว่างพอที่จะกลับไปพิจารณาทบทวนได้ว่า “การปฏิรูปการเมือง”นั้น มิใช่เป็นเพียงการแต่งตั้ง คตส. เพื่อตรวจสอบความผิดของอดีตนักการเมืองที่ทำการทุจริตคอร์รัปชั่น( ซึ่งยังคงค้างคาราคาซังอยู่ในขณะนี้ และยังไม่ทราบว่า เมื่อมี “คณะรัฐบาล”ชุดใหม่หลังการเลือกตั้งในเดือนธันวาคมแล้ว การดำเนินการ ในกระบวนการยุติธรรมต่อไป จะเป็นอย่างไร) และ
       “การปฏิรูปการเมือง” ก็คงไม่ไช่เป็นเพียงการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามแต่จะมีผู้เสนอชื่อ หรือการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี แล้วปล่อยให้ สถาบันเหล่านี้ทำงานโดยอิสระอย่างปราศจาก “จุดหมาย”
       แต่“การปฏิรูปการเมือง” หมายถึง การที่จะสร้าง “ระบบสถาบันการเมืองใหม่ “เพื่อทำให้การบริหารประเทศในอนาคต มีประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพ (ขจัดหรือลดการทุจริตคอร์รัปชั่นของนักการเมือง) ที่จะต้องเป็นหน้าที่ของทุกสถาบันและทุกองค์กรของประเทศ ซึ่งจะต้องทำงานโดยมี”จุดหมาย”ร่วมกันและมีความมุ่งมั่นร่วมกัน ในการทำให้สำเร็จ
       “การเลือกตั้ง”ในวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็น สิ่งที่ยืนยันความล้มเหลวของ “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เพราะ คณะปฏิรูปการปกครองฯ) ได้นำคนไทยกลับมาสุ่ “ที่เดิม” ณ ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ก่อนมีการรัฐประหาร
       ผู้เขียนไม่ทราบว่า คณะปฏิรูปการปกครองฯ (นักการเมือง - จำเป็น) มีความรู้สึกอย่างไร ในกรณีที่เอกสารลับ ของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ – คมช. (คณะปฏิรูปการปกครองฯ เดิม) ถูกพรรคการเมืองพรรคหนึ่งนำไปยื่นให้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้พิจารณาว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติกระทำผิดกฎหมายเพราะไม่วางตัวเป็นกลางในทางการเมืองในการเลือกตั้ง ( “เอกสารลับ” ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๐ เลขที่ คมช. ๐๐๓.๕/ ๔๘๐ และบันทึกปะหน้า เอกสารลับและด่วนมาก ของ ศปก.ทบ. ที่กห. ๐๔๐๗ / ๔๘๐ วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๐) และ นี่เป็นเพียง “ตัวอย่าง”กรณีเดียวในขณะนี้ ; แต่ผู้เขียนเชื่อว่า ต่อไปข้างหน้า เมื่อมี “รัฐบาลชุดใหม่”ประกอบกับการพิกลพิการในกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ ถ้าท่าน (นักการเมือง - จำเป็น) ยังจะ (คิด) ทำอะไรต่อไป ที่ขัดประโยชน์ของ “พรรคการเมือง”ที่ได้เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่ท่าน(นักการเมือง - จำเป็น)ได้ยกร่างขึ้นมาเอง บางทีท่าน(นักการเมือง - จำเป็น)ก็อาจจะพบว่า มีกรณี “ตัวอย่าง”ที่เกี่ยวกับตัวท่านเอง ปรากฎขึ้นอีกหลายกรณี
       
       ในท้ายที่สุดนี้ จากข้อเท็จจริงที่ได้พิจารณามาแล้ว ได้แสดงให้เห็นว่า คณะปฏิรูปการปกครองฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ภารกิจในการรัฐประหารของตนเอง ( ทั้งในด้านการจัดหารัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือการปฏิรูปการเมือง และในด้านการบริหารราชการแผ่นดิน) เพื่อแก้ไข “สาเหตุ”ของปัญหาวิกฤตทางการเมือง ที่คณะปฏิรูปการเมืองฯ เองได้อ้างมาเป็น “เหตุผล”เพื่อแสดงความชอบธรรมในการทำรัฐประหาร ผู้เขียนจีงขออนุญาตสรุปความเห็นด้วยความสุจริตใจว่า “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ไม่มีทั้งความรู้ และไม่มีทั้งความเสียสละ พอที่จะเข้ามาทำการ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
       ในอนาคต ใครก็ตาม ที่คิดจะ “ปฏิรูปการเมือง”ให้แก่คนไทย ไม่ว่าจะโดยวิธีการรัฐประหารหรือโดยวิธีการอื่นใด ผู้เขียนก็ขอให้ประเทศไทยโชคดี ได้บุคคลที่มี “ความรู้”และมี “ความเสียสละ” อันเป็นคุณลักษณะของ statesman มากกว่าคณะปฏิรูปการปกครองฯ ชุดนี้(มี)
       
       • “วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑” วันสิ้นสุดของ “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุข” ในขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความตอนนี้( เดือนกุมภาพันธ์ ) ก็ปรากฏว่า ในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ คณะปฏิรูปการปกครองฯ ได้มีการประชุมกันเพื่อแถลงข่าวการสิ้นสุดของตนเอง ซึ่งได้ทำการรัฐประหาร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และต่อมาปรับเปลี่ยนเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ( คมช. ) ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.๒๕๔๙ ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ ; คณะปฏิรูปการปกครองฯ ได้สิ้นสภาพไปตามรัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๐) เมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้าถวายสัตย์ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ รวมเป็นเวลาที่คณะปฏิรูปการปกครองฯ ดำรงอยู่ ๑๖ เดือน ๑๘ วัน ( หรือรวมเป็นวันทั้งหมด ๕๐๕ วัน )
       คณะปฏิรูปการปกครอง (โดยผู้รักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ) ได้แถลงขออภัยในการทำงานครั้งนี้ ที่ไม่ได้ผลตามเป้า และได้กล่าวว่า “ที่ผ่านมา คมช. มิได้เข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ ทั้งฝ่ายบริหาร คือรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ทั้งนี้ เพื่อให้การคืนอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นไปอย่างเรียบร้อย และเป็นธรรมโดยเร็วที่สุด”
       
ผู้เขียนขอเรียนว่า ผู้เขียนไม่ประหลาดใจที่ได้ฟังคำพูดของท่านผู้รักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติที่กล่าวเช่นนั้น เพราะเป็นคำพูดที่ตรงกับ “ข้อวิเคราะห์”ของผู้เขียนที่ได้เขียนไว้ในข้อ (ก)นี้ ว่า คณะปฏิรูปการปกครองฯ ทำการรัฐประหาร โดยไม่รู้ “ปัญหาของประเทศ”และไม่มี”ความรู้” และ ดังนั้น คณะปฏิรูปการปกครองฯ จึงไม่สามารถกำหนด “จุดหมาย” อันเป็นภารกิจของการรัฐประหาร เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ ในช่วงของการบริหารประเทศ(ชั่วคราว)ในระหว่างที่มีการรัฐประหารได้
       ท่านผู้รักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ได้กล่าวว่า “.... ที่ผ่านมา คมช. มิได้เข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ ทั้งฝ่ายบริหาร คือรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติ และ (ฝ่ายตุลาการ )......” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ท่านผู้รักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ได้ยืนยันว่า ในการทำรัฐประหาร คณะปฏิรูปการปกครองฯ ไม่มี “จุดหมาย”ในการบริหารประเทศ(ในช่วงของการทำรัฐประหาร) เพื่อแก้ปัญหา(ประเทศ)อันเป็นสาเหตุของการรัฐประหาร แต่อย่างใด และดังนั้น คณะปฏิรูปการปกครองฯ (หรือ คมช.)จึงมีความตั้งใจ ที่จะไม่ไปก้าวก่ายการทำงานของรัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ; โดยเมื่อคณะปฏิรูปการปกครองฯได้แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและรัฐบาลขึ้นแล้ว คณะปฏิรูปการปกครองฯ ก็ปล่อยให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติและรัฐบาลดำเนินการโดยอิสระ สถาบันทั้งสองสถาบันจะทำงานได้“ผลงาน”มาอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น สถาบันทั้งสองสถาบันจะแก้ปัญหา(ความเสื่อมของการบริหารประเทศ) อันเป็น “สาเหตุ”ของวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ทำให้ต้องมีการรัฐประหารได้หรือไม่ ก็มิใช่ความสนใจของคณะปฏิรูปการปกครอง ฯ
       นอกจากนั้น คำพูดของท่านผู้รักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ยังเป็นการแสดงให้ ได้ทราบว่า คณะปฏิรูปการปกครองฯ ไม่มี “ความรู้”พอที่จะคาดหมายได้ว่า “รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๔๙” ที่คณะปฏิรูปการปกครองได้นำมาใช้บังคับนั้น ไม่มี”คุณภาพ” และ(จะ)เป็นสาเหตุ ที่นำคนไทยกลับมาสู่สถานการณ์เดิมก่อนการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ; ผู้เขียนเห็นว่า คณะปฏิรูปการปกครองฯไม่จำเป็นจะต้องขออภัยในการทำงานครั้งนี้ ที่ไม่ได้ผลตาม “เป้า” เพราะตามความจริงแล้ว คณะปฏิรูปการปกครองฯ มิได้มี “เป้า”ในการทำงานแต่อย่างใด
       ผู้เขียนขอเรียนว่า “ การคืนอำนาจการปกครองระบอบประชาธิปไตย (ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๐) ได้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและเป็นธรรม” สมตามความปรารถนาของคณะปฏิรูปการปกครองฯ คือ การคึนอำนาจ ฯ ได้ทำให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมก่อนการรัฐประหารทุกประการ กล่าวคือ ประการแรก รัฐธรรมนูญฉบับเดิม พ.ศ. ๒๕๔๐ (ที่ถูกยกเลิกไปเพราะการรัฐประหาร) ใช้“ระบบเผด็จการ ฯ โดยพรรคการเมือง” และในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่(พ.ศ. ๒๕๕๐) ก็ยังคงใช้“ระบบเผด็จการ ฯ โดยพรรคการเมือง”อยู่เช่นเดิม ; และ ประการที่สอง ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เราก็ยังคงมีพรรคการเมืองพรรคเดิมก่อนการรัฐประหารได้รับเลือกตั้งเข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐเหมือนเดิม (เพียงแต่เปลี่ยน “ชื่อ”พรรคบ้างเล็กน้อย) ; และประการที่สาม สำหรับนักการเมือง(นายทุนธุรกิจ) เราก็ยังคงมีนักการเมือง(นายทุนธุรกิจ)หน้าเดิม ๆ พร้อมทั้งบุตรภริยาพี่น้องของนักการเมืองหน้าเดิม ๆ กลุ่มเดียวกับกลุ่มก่อนมีการรัฐประหาร ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
       คำถามมีว่า ถ้าทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ทำการรัฐประหารมา เพื่ออะไรกันแน่ (?)
       

       • ต่อจากนี้ ผู้เขียนขอนำท่านผู้อ่านลองไปพิจารณาศึกษาถึง สภาพ ( “คุณภาพ” และ “ความรู้” ) ของeliteของสังคมไทย อีก ๓ ประเภท คือ ในข้อ ( ข ) จะวิเคราะห์ “นักวิชาการในวงการกฎหมาย”ของเรา ; ในข้อ ( ค ) จะว่าด้วย “ นายทุนธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายทุนธุรกิจ(ระดับท้องถิ่น)”; และ ในข้อ ( ง ) จะพูดถึง “นักวิชาการไทย ประเภท the philosophes” โดยผู้เขียนจะได้ให้ข้อคิดเห็น อย่างสั้นๆ เพื่อพอเป็นพื้นฐานในการคาดคะเน “อนาคตของประเทศไทย” ที่มีพลเมืองอยู่ ๖๓ ล้านคน ซึ่งล้วนแต่เป็นคนไทย ที่จะต้องอยู่ภายใต้ “การนำ”ของ elite ๓ ประเภทนี้ และ ไม่รู้จะหนีไปไหน
       
       • บทสุดท้าย (ของ ข้อ (ก)) : อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผู้เขียนจะกล่าวต่อไปในข้อ ( ข ) ว่าด้วย “elite ประเภทนักวิชาการในวงการกฎหมาย”ของเรา บังเอิญเมื่อเร็วๆ นี้ ( ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ) ผู้เขียนได้ไปอ่านหนังสือพิมพ์บางฉบับ ลงข่าวเกี่ยวกับ ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ได้ไปกล่าว “สุนทรพจน์พิเศษ” ในงานเสวนาทางวิชาการ ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เรื่อง “บทเรียน เลือกตั้ง ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐”
       สุนทรพจน์ของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้เป็นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งผู้เขียนเห็นสมควรถ่ายทอดมาให้ท่านผู้ฟังได้รับทราบไว้ด้วย ; ท่านกล่าวว่า “....... รัฐธรรมนูญถึงจะดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าผู้ที่จะมาใช้ช่องโหว่เป็นคนฉลาด เก่งแกมโกง ตั้งใจมาโกง ก็สามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นั้นหาประโยชน์ให้ตัวเองได้ โดยไม่มีใบเสร็จ ......ผมขอให้อย่าหลงรัฐธรรมนูญ ท่านพุทธทาสเคยบอกว่า แม้ประชาธิปไตย คือ เสียงข้างมาก แต่ถ้าเสียงข้างมากไม่ดี เป็นเสียงเลว ๆ ประเทศชาติจะรอดพ้นไปได้อย่างไร จึงได้เสนอคำว่า “ธรรมาธิปไตย” หมายถึงประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ต้องมีธรรมะในใจ ...........วันนี้ เราต้องยอมรับว่า เรากลับไปตั้งอยู่ที่จุดเดิมเมื่อปีกว่ามาแล้วหรือเมื่อ ๖-๗ ปีที่แล้ว จะโทษใครไม่ได้ แต่ถ้าจะโทษ คงต้องโทษสังคมไทยทั้งสังคม......... คำว่า “ประชาธิปไตย”นั้น ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อประโยชน์ของตนเอง สังเกตได้จากประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ต่างๆ ล้วนใช้คำนำหน้าประเทศว่า “ประชาธิปไตย” เช่นจีน.... และ “ผู้นำ”หลายประเทศในโลกนี้ใช้ประชาธิปไตยเพิ่อประโยชน์ของตนเอง เช่น ฮิตเลอร์ เปรอน มาร์กอส มูชาร์รัฟ ล้วนผ่านระบบการเลือกตั้งมาตลอด ....... แต่ไม่มีใครพูดถึงสาระของประชาธิปไตยที่มีความชอบธรรม ใสสะอาดบริสุทธิ์ .........ความเห็นของชาติตะวันตกเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย” ไร้ความหมาย ....เป็นเรื่องไร้สาระ ประเด็นอยู่ที่คนที่มาจากการเลือกตั้งแล้วใช้อำนาจในทางที่ผิด จะเป็นมิตรกับสหรัฐและอังกฤษหรือไม่ ถ้าหากเป็นได้ ก็แสดงว่าถ้าคุณเป็นพวกเขา ไม่ว่าคุณจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร เขารับได้หมด แม้คนในสหรัฐเอง ก็ยังพูดว่า รัฐบาลของเขาเป็นคนสองหน้า .........การเลือกตั้งนั้น นอกจากจะเป็นระบอบที่ยอมรับเสียงข้างมากแล้ว ยังต้องปกป้องคุ้มครองเสียงข้างน้อยด้วย ไม่ใช่บอกว่า เป็นผู้นำของคน ๑๖ ล้าน หรือ ๑๙ ล้าน แต่อีก ๑๒ ล้านที่ไม่ออกเสียง ก็นั่งคอยไปอีก ๔ ปี ....แล้วแบ่งเขตแดนเป็นสีเหลือง เขียว แดง ตัดสินว่า จะให้งบประมาณที่ไหนมากกว่ากัน อันนี้ใช้ไม่ได้......อย่าไปแยกแยะว่าเป็นนายกให้แก่คน ๑๙ ล้านคนเท่านั้น.......คนเป็นนายกฯต้องบอกว่า จะเป็นนายกฯของคนทั้งประเทศ ..........เรามีการเลือกตั้ง กำลังจะมีนายกฯ รัฐบาลใหม่หน้าตาจะออกมาอย่างไร ไม่ทราบ จะสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม .........ต้องรอดูผลงาน ........”
       “สาระ”ในสุนทรพจน์ของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีนี้ ได้ให้ข้อเท็จจริงที่ควรเป็นประสบการณ์ของคนไทย เพื่อที่จะนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการแก้ “ปัญหาของประเทศ”ในอนาคต (ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้อีก และอาจจะเกิดขึ้นในเวลาไม่ไกลนักก็ได้ )
       
       แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อความบางตอนในสุนทรพจน์ของท่านอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้ แตกต่างกับ “สาระ” ที่อยู่ในบทความ( ที่ผ่านมาของผู้เขียน) ในบางประการ ซึ่งผู้เขียนจำต้องขออนุญาตยกมากล่าวในบทความนี้ และต้องขออภัยในการที่ผู้เขียนจำเป็นต้องมีข้อสังเกต
       
ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า “รัฐธรรมนูญถึงจะดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าผู้ที่มาใช้ช่องโหว่ เป็นคนฉลาด เก่งแกมโกง ตั้งใจมาโกง ก็สามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นั้นหาประโยชน์ให้ตัวเองได้ โดยไม่มีใบเสร็จรับเงิน........ สมัยที่มีการร่างรัฐธรรมนูญปี ๔๐ มีนักวิชาการ ผู้แทนรัฐบาลจากต่างประเทศมากมาย ชื่นชมว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่ดี ซึ่งถ้าดีจริง ทำไมจึงต้องร่างขึ้นมาใหม่ ...... พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่า กฎหมายนั้น มีช่องโหว่ . ......... ต่อมาอีก ๑๐ ปีให้หลัง คนที่ได้รับมอบหมายเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องพยายามอุดช่องโหว่ ..... ซึ่งในใจผมคิดว่า เป็นรื่อง “มิชชั่น อิมพอสสิเบิล” หรือเป็นภารกิจที่เป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งต่อมามี “การเลือกตั้ง” ก็ปรากฏเด่นชัดว่า ที่เขียนขัดขวางเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่สัมฤทธิ์ผลออกมากเท่าไหร่ .......วันนี้ เราต้องยอมรับว่า เรากลับไปตั้งต้นที่จุดเดิม เมื่อปีกว่ามาแล้วหรือเมื่อ ๖-๗ ปีที่แล้ว จะโทษใครไม่ได้ แต่ถ้าจะโทษ คงต้องโทษสังคมไทยทั้งสังคม จะโทษคนซื้อขายเสียงอย่างเดียวหรือชาวไร่ชาวนาคงไม่ถูก ตอนนี้เป็นเรื่องที่ต้องหยุดการแบ่งปันโทษ อาจต้องมาเริ่มต้นกันใหม่....... ”
       ผู้เขียนขอเรียนว่า ผู้เขียนเห็นด้วยกับท่านอดีตนายกรัฐมนตรีว่า “รัฐธรรมนูญถึงจะดีเลิศอย่างไร แต่ถ้าผู้ที่มาใช้ช่องโหว่ เป็นคนฉลาด เก่งแกมโกง ตั้งใจมาโกง ก็สามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นั้นหาประโยชน์ให้ตัวเองได้ โดยไม่มีใบเสร็จรับเงิน”; แต่อย่างไรก็ตาม การที่ผู้เขียนเห็นด้วยกับข้อความดังกล่าวข้างต้นนี้ มิได้หมายความว่าผู้เขียนเห็นว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ จะเป็น “รัฐธรรมนูญที่ดี หรือดีเลิศ” และผู้เขียนขอเรียน ว่า ในบรรดานักวิชาการและผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศมากมาย ที่ชื่นชมต่อท่านองค์ปาฐกว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นรัฐธรรมนูญที่ดี นั้น มิได้มี “ผู้เขียน” รวมอยู่ด้วย
       
ผู้เขียนเห็นว่า แม้ว่า รัฐธรรมนูญที่ดีเลิศ จะไม่สามารถป้องกันคนฉลาด เก่งแกมโกง ที่ตั้งใจมาโกงได้ แต่รัฐธรรมนูญที่ดี ( หรือดีเลิศ ) ก็สามารถที่จะลด “ช่องโหว่” และลด “โอกาส” ของ คนฉลาด เก่งแกมโกงที่ตั้งใจจะมาโกง ไม่ให้สามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นั้นหาประโยชน์ให้ตัวเองได้ โดยไม่มีใบเสร็จรับเงิน” ได้มาก แม้ว่ารัฐธรรมนูญที่ดีดังกล่าวจะป้องกันได้ไม่สมบูรณ์ ( ร้อยเปอร์เซ็นต์ ) ; และผู้เขียนเห็นว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ดี เพราะได้สร้างระบบที่เป็น “ช่องโหว่” ให้คนฉลาดเก่งแกมโกง สามารถทุจริตและหาประโยชน์ให้แก่ตนเองได้ อย่างมากมาย
       
       ในบทความนี้ ผู้เขียนได้วิเคราะห์ถึง “ความผิดพลาด” ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ (ที่ยกร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ชุดที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๕๓๙ ) ในหลาย ๆ ด้าน แต่ผู้เขียนยังมิได้กล่าวถึง “ชื่อ”ของ ผู้ที่เกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐นี้ ไว้ในบทความนี้แต่อย่างใด ; ผู้เขียนต้องขอขอบคุณท่านอดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้กรุณากล่าวถึงปัญหานี้ในปาฐกถาหรือสุนทรพจน์พิเศษของท่าน ; และดังนั้น เพื่อให้บทความนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผู้เขียนขอเรียนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อท่านผู้อ่านว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ นี้ ร่างขึ้นโดย “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติม โดย รธน.( ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๓๙ ; สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ มีจำนวนสมาชิก ๙๙ คน( รวมทั้งท่านอดีตนายกรัฐมนตรีที่กล่าวสุนทรพจน์นี้ด้วย) โดยมี นายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภาฯ และมี นายกระมล ทองธรรมชาติ กับ นางยุพา อุดมศักดิ์ เป็นรองประธานสภาฯ และมี “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ”คณะหนึ่ง มีกรรมาธิการจำนวน ๑๗ คน โดยมีท่านอดีดนายกรัฐมนตรีท่านนี้ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ฯ
       อันที่จริง ผู้เขียนได้ติดตามปัญหาเรื่องการออกแบบ( เขียน )รัฐธรรมนูญของเรามาโดยตลอด และผู้เขียนได้เขียนบทความเกี่ยวกับ “การปฏิรูปการเมือง” มาหลายบทความ รวมทั้ง “บทความ”หลังจากที่เราได้มีเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ (เมื่อ ๑๕ ปีก่อน) ด้วย ; บทความในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ผู้เขียนได้เขียนเพือขอให้รัฐบาลในขณะนั้น จัดให้มีการวิเคราะห์รัฐธรรมนูญ (และพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ - ปฏิรูปการเมือง) ก่อนที่รัฐบาลในขณะนั้นจะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๓๔ เพื่อกำหนดให้ “นายกรัฐมนตรี ต้องมาจาก ส.ส.( เท่า นั้น )” ตามคำเรียกร้องของนักวิชาการ และนักการเมือง ( ที่มาจากการเลือกตั้ง )ในขณะนั้น และก่อนที่จะทำการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ; แต่รัฐบาลในขณะนั้น ไม่ได้ทำตามบทความของผู้เขียน
       
ตลอดเวลาที่ผ่านมาและแม้ในปัจจุบัน ผู้เขียนเคยหวังว่า เราจะมี Elite ในระดับผู้นำประทเศ ( ไม่ว่าจะเป็น “ท่านผู้ใด” ก็ตาม ) ที่จะทำให้ประเทศไทยมีการปฏิรูปการเมือง เพราะผู้เขียนกล่าวอยู่เสมอว่า “นักวิชาการ”เช่นผู้เขียนนั้น ไม่อยู่ในฐานะที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ และการเปลี่ยนแปลง ( ทางการเมือง )ของสังคมจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมี elite ( ในระดับผู้นำประเทศ ) ชี้นำเท่านั้น”; เพราะ Elite ในระดับผู้นำประเทศ เป็น “ผู้นำ” ที่มีบารมีพอ - ที่จะชี้แจงให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใด คนไทยเราจึงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ( การปฏิรูปการเมือง )
       
       ท่านผู้อ่านโปรดพิจารณา “ข้อเท็จจริง” ดังต่อไปนี้ ผู้เขียนได้เคยพูดถึง “ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภา โดยพรรคการเมือง( นายทุนธุรกิจ )” ตามรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ของไทย มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว และผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่า รัฐธรรมนูญของประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ใช้ “ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภา โดยพรรคการเมือง” ( คือ มีบทบัญญัติกำหนดให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง - บัญญัติให้พรรคการเมืองมีอำนาจบังคับให้ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามมติพรรค -บัญญติให้ นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น ) ; และข้อเท็จจริง ก็ปรากฎแล้วว่า นายทุนธุรกิจของเราได้ร่วมกันลงทุนจัดตั้งพรรคการเมืองและอาศัย “การเลือกตั้ง” (ในสภาพที่สังคมไทยมีความอ่อนแอ) ประกอบกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ สร้างระบบเผด็จการในระบบรัฐสภาดังกล่าว เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐ ( ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในรัฐบาล – คณะรัฐมนตรี ) ต่อเนื่องกันมากว่า ๑๕ ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๕ ) และก็ปรากฎว่า ประเทศเราได้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมาโดยตลอด มากบ้างน้อยบ้างมโหฬารบ้าง ตามแต่โอกาส
       และในขณะนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ( ที่เพิ่งประกาศใช้บังคับ ) ก็ยังคงใช้ form of government ใน “ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภา โดยพรรคการเมือง” ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ ( หลังการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ )
เราก็มีคณะรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ที่เป็นที่ทราบกันว่า เป็นตัวแทน ( หรือ ภริยา – ญาติพี่น้อง ) ของนายทุนธุรกิจกลุ่มต่างๆ ซึ่ง( ไม่สามารถดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้ด้วยตนเอง เนื่องจากถูกตัดสิทธิทางการเมือง ตามกฎหมาย ฯลฯ ) มอบหมายให้เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน
       
ผู้เขียนเชื่อว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มี “คณะรัฐมนตรี” ในลักษณะตัวแทนของนายทุนธุรกิจที่มีอำนาจสั่งการที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังเช่นนี้ ซึ่งสื่อมวลชนเรียกคณะรัฐมนตรีของเราว่า “คณะรัฐมนตรีร่างทรง” บ้าง ; หรือ เป็น “คณะรัฐมนตรีนอมินี” บ้าง ; หรือ เป็น “คณะรัฐมนตรีหุ่นเชิด” บ้าง ; หรือเป็น “คณะรัฐมนตรีพร็อกซี่บ้าง ; ฯลฯ

       เป็นที่ชัดเจนว่า การที่ข้อเท็จจริง – facts ดังกล่าวข้างต้นนี้ สามารถเกิดขึ้น เป็น “ความเป็นจริง – reality” ได้ ก็เพราะว่า “อำนาจเผด็จการของพรรคการเมือง” ; รัฐธรรมนูญของเราได้สร้างระบบพรรคการเมือง(บังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรค ฯลฯ) ที่ทำให้ “พรรคการเมือง”กลายเป็นสถาบันสูงสูดที่ผูกขาดอำนาจรัฐ เหนือสภาผู้แทนราษฎร ; ดังนั้น พรรคการเมือง (และนายทุนธุรกิจเจ้าของพรรคการเมือง ที่ที่ลงทุนตั้งพรรคการเมือง ) ที่ควบคุม “เสียงข้างมาก” ในสภาผู้แทนราษฎรในระบบรัฐสภา – parliamentary system ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๕๐ จึงมีอำนาจกำหนดตัวบุคคลที่จะเป็น “รัฐมนตรี”ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด; ระบบนี้ เป็นระบบที่เคยใช้และเคยเป็นปัญหาการเผด็จการ ของพรรคการเมือง (และของนายทุนธุรกิจเจ้าของพรรคการเมือง)มาแล้ว ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร
       
       ปัญหามีว่า “Elite ในระดับผู้นำประเทศ”ของเรา มองความเป็นจริง – reality ที่เกิดขึ้นต่อหน้าเรานี้ อย่างไร ; “Elite ในระดับผู้นำประเทศ” อาจจะมองความเป็นจริง – reality นี้ และมีความเห็นเพียงว่า “การเขียนรัฐธรรมนูญที่ดี เป็นเรื่องของ “มิชชั่น อิมพอสสิเบิล” หรือเป็นภารกิจที่เป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งต่อมามี “การเลือกตั้ง” ก็ปรากฎเด่นชัดว่า ที่เขียนขัดขวางเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่สัมฤทธิผลออกมาเท่าไหร่”
       ผู้เขียนมีความเห็นที่แตกต่างออกไปจากท่านอดีตนายกรัฐมนตรี เพราะ ผู้เขียนมีความเห็นว่า ความเป็นจริง -reality ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะเราเขียนรัฐธรรมนูญไม่เป็น และเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ๑๐ ปี การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๐ ก็มิได้แตกต่างไปจาก รัฐธรรมนูญฉบับเดิม พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีเคยเป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่อย่างใด
       
       ผู้เขียนจะขออธิบาย ด้วยภาษาง่าย ๆ ที่ไม่เป็นวิชาการเกินไป สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไป อีกครั้งหนึ่งว่า “ระบบเผด็จการ(ในระบบรัฐสภา) โดยพรรคการเมืองของนายทุนธุรกิจ” เกิดขึ้นในประเทศไทย(ประเทศเดียวในโลก)ได้อย่างไร และเป็นปัญหาของประเทศไทย ได้อย่างไร
       ในสังคมไทย เรามี eliteที่มีบทบาทสำคัญในทางการเมือง อยู่ ๒ ประเภท (จำพวก) คือ elite ประเภทแรก ได้แก่ นายทุนธุรกิจ (ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ) และ elite ประเภทที่สอง ได้แก่ นักกฎหมายและนักวิชาการ
       elite ประเภทแรก
ได้แก่ นายทุนธุรกิจ (ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ)ในสังคมไทย ซึ่ง(ตามความเห็นของผู้เขียน)ประเทศไทยอาจจะค่อนข้างโชคร้าย ที่เราบังเอิญมี elite ประเภทนี้ที่เห็นแก่ตัวเป็นจำนวนมากไปหน่อย ; นายทุนธุรกิจ มองเห็น “โอกาส”ในการใช้เงินในการเลือกตั้ง(ในสภาพที่สังคมไทยมีความอ่อนแอ) เพื่อเข้ามาใช้ “อำนาจรัฐ”เพื่อหาประโยชน์ส่วนตัว (ตามแต่โอกาสจะอำนวย) จึงได้คิด “รูปแบบ”ของรัฐธรรมนูญ (ที่มีบทบัญญัติกำหนดให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง / บัญญัติให้พรรคการเมืองมีอำนาจบังคับให้ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามมติพรรค / บัญญติให้ นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น ) เพื่อที่พวกตนจะได้ “ลงทุน”จัดตั้งพรรคการเมืองและออกเงินค่าใช้จ่ายล่วงหน้าในการเลือกตั้งให้แก่ ผู้ที่สมัครมาอยู่ในสังกัดของตน ซึ่งผู้ที่สมัครมาอยู่ในสังกัดของตนนอกจากจะไม่เสียเงินในการเลือกตั้ง(หรือเสียเงินนัอยลง)แล้ว ยังจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทน(จากพรรคการเมือง)ในขณะที่เป็น ส.ส.อีกด้วย ; บทบัญญัติที่กำหนดให้ “นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น” เป็นบทบัญญัติที่ให้หลักประกันแก่พวกตน(นายทุนธุรกิจ)ว่า ถ้าบรรดาพวกตนลงทุนมากพอและได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว คนอื่นจะมาแย่งตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”ไปจากพวกตนที่ได้ลงทุนไปแล้ว ไม่ได้ ; บทบัญญัติที่กำหนดให้พรรคการเมืองมีอำนาจบังคับให้ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามมติพรรค ก็เพื่อให้เป็นบทบัญญัติสำหรับควมคุม ส.ส. ที่ได้รับเงินของพวกตนในการเลือกตั้ง (และเงินช่วยในระหว่างเป็น ส.ส.)ไปแล้ว มิให้เปลี่ยนใจออกนอกสังกัด หรือไม่เชื่อฟังพวกตน เพราะถ้าเปลี่ยนใจหรือไม่ซื่อสัตย์ พวกตนก็สามารถทำให้ ส.ส.ดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ได้
       และในสังคมไทย เราก็บังเอิญ มี elite ประเภทที่สอง ที่เป็น นักกฎหมายและนักวิชาการ ; elite ประเภทนี้ แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ได้แก่ กลุ่มนักกฎหมายและนักวิชาการที่ไม่มีความรู้พอและไม่เข้าใจว่า ทำไม ประเทศไทยจึงเป็นประเทศเดียวในโลกที่เขียนรัฐธรรมนูญเช่นนี้ และทำไมประเทศอื่นทั้งโลกเขาจึงไม่เขียนรัฐธรรมนูญให้ใช้ “ระบบเผด็จการ(ในระบบรัฐสภา) โดยพรรคการเมือง “ นักกฎหมายและนักวิชาการกลุ่มนี้ไม่สามารถคิดหา “เหตุผล”มาอธิบายได้ เพราะเคยเรียนมามาก แต่ไม่ค่อยได้ “คิด” ; และกลุ่มที่สอง ได้แก่ ได้แก่ กลุ่มนักกฎหมายและนักวิชาการที่ได้รับประโยชน์และตำแหน่งต่าง ๆ (ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม )จากบรรดานักการเมือง(นายทุนธุรกิจ)เจ้าของพรรคการเมือง ดังนั้น ความเห็นทางวิชาการ(ที่ให้แก่ประชาชน)ของนักกฎหมายและนักวิชาการกลุ่มนี้จึงขาดความสุจริตใจ (ตามหลักสังคมวิทยา) โดยมีแนวโน้มที่จะมองประโยชน์ส่วนตัว และแม้แต่เมื่อสองสามวันมานี้ ผู้เขียนก็ยังได้ยินนักกฎหมายบางคนพูด ถึง “ความกตัญญู”ที่มีต่อนักธุรกิจการเมือง ที่ได้ให้ตำแหน่งทางการเมืองแก่ตน
       elite ประเภทที่สอง(นักกฎหมายและนักวิชาการ ทั้งสองกลุ่ม)นี้ คล้อยตามและสนับสนุน “รูปแบบ”ของรัฐธรรมนูญ ที่ elite ประเภทแรก(นายทุนธุรกิจ) คิดขึ้น โดยไม่เตือนให้สังคมไทยพึงสังวรณ์ว่า รูปแบบนี้เป็น “ระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมือง” และประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่เขียนรัฐธรรมนูญเช่นนี้ และไม่บอกแก่คนไทยว่า การเผด็จการโดยพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา – parliamentary system นั้น หมายถึงว่า “พรรคการเมืองที่คุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร”นั้น จะควบคุม “อำนาจรัฐ”ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและได้เป็น “รัฐบาล”ไปด้วย ; ดังนั้น พรรคการเมืองและเจ้าของพรรคการเมือง (นายทุนธุรกิจ) จึงสามารถเอาตำแหน่งต่าง ๆ ในรัฐบาล (คือ ตำแหน่งรัฐมนตรี /ตำแหน่งการเมืองต่าง ๆ ในส่วนราชการ / ตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจ / ฯลฯ ) มาแบ่งปันกันในระหว่างเจ้าของพรรคการเมืองได้ และในขณะเดียวกัน นักการเมืองเจ้าของพรรคการเมืองนั้นก็สามารถทำการทุจริตและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของชาติได้ (โดยยากที่จะหาใบเสร็จ) เพราะพรรคการเมืองดังกล่าวได้ควบคุมกลไกของรัฐทั้งหมด รวมทั้งสามารถใช้ “สภาผู้แทนราษฎร”ออกกฎหมายได้ตามแต่ใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นการคอร์รัปชั่นทางนโยบายหรือไม่ ฯลฯ
       
       “ระบบเผด็จการ(ในระบบรัฐสภา) โดยพรรคการเมืองของนายทุนธุรกิจ” ที่ elite ทั้งสองประเภทของสังคมไทย ร่วมมือกันเขียน(สร้าง)ให้แก่คนไทย(ฉบับเดียวในโลก)นั้น ได้ใช้อยู่ในรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และ ยังใช้อยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๐ ; ฉะนั้น การที่ ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวในสุนทรพจน์หรือปาฐกถาของท่าน ว่า “ต่อมาอีก ๑๐ ปีให้หลัง คนที่ได้รับมอบหมายให้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องพยายามอุดช่องโหว่ ........ต่อมามี “การเลือกตั้ง” ก็ปรากฏเด่นชัดว่า ที่เขียนขัดขวางเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่สัมฤทธิ์ผลออกมากเท่าไหร่ .......” คำกล่าวนี้ จึงไม่ตรงต่อความจริงที่เกิดขึ้น ; การที่เรา(คนไทย)ต้องกลับมาสู่ “ที่เดิม”อีก ก็เพราะ คนที่ได้รับมอบหมายให้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ของเรา ยังเขียนรัฐธรรมนูญไม่เป็นและยังใช้ “ระบบเดิม”อยู่ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วถึง ๑๐ ปี คนที่ได้รับมอบหมายให้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ยัง “คิด”ไม่ออกว่า ปัญหาวิกฤตการเมืองของประเทศไทย เกิดจากอะไร
       ผู้เขียนได้กล่าวอุปมาอุปมัยไว้แล้วข้างต้นว่า การเขียนรัฐธรรมนูญ ที่สร้าง “ระบอบเผด็จการ(ในระบบรัฐสภา) โดยพรรคการเมือง” เปรียบเสมือน เป็นการที่เอา “ปลาย่าง”ไปวางไว้ต่อหน้าฝูงแมว แล้วคอยห้าม (ขัดขวาง)แมวไม่ให้มากินปลาย่าง ซึ่งไม่มีประเทศไหนในโลกเข้าทำกัน ; สิ่งที่เราจะต้องทำ คือ ทำ “ปลาย่าง” ไม่ให้เป็นปลาย่าง คือ ไม่สร้าง “การผูกขาดอำนาจรัฐ โดยพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา” ; โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยเป็นประเทศที่สังคมมีความอ่อนแอ ซึ่งทำให้การออกเสียงลงคะแนนในการเลือกตั้ง(ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดของประเทศ) ยังอ่อนไหวต่ออิทธิพลการใช้เงินและการให้ผลประโยชน์ตอบแทนเป็นแรงจูงใจ (ในการใช้สิทธฺออกเสียง) ; ดังนั้น จึงคาดหมายในทางสังคมวิทยาได้ว่า พรรคการเมืองที่จะเข้ามาผูกขาด “อำนาจรัฐ” ย่อมได้แก่พรรคการเมืองที่เกิดจากการรวมทุนของกลุ่มนักนายทุนธุรกิจ
       การเอาปลาย่าง (การผูกขาด “อำนาจรัฐ”)ไปวางไว้ต่อหน้านักการเมือง(นายทุนธุรกิจ) ก็หมายความว่า เป็น “การเชิญชวน”ให้นายทุนธุรกิจลงทุนให้มากที่สุดในการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้โดยมีการผูกขาดอำนาจรัฐ (ปลาย่าง)เป็นสิ่งล่อใจ เช่น ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และอื่น ๆ ฯลฯ สำหรับการแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน และ “รัฐธรรรมนูญ”ของเรา (ด้วยความไม่ฉลาดและด้วยความความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ของนักกฎหมายและนักวิชาการ) ก็ได้บัญญัติ(เป็นลายลักษณ์อักษร) ให้เป็นประกันในความแน่นอนของการผูกขาดอำนาจ(ปลาย่าง)สำหรับแมวไว้ให้แล้ว
       ตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ “อำนาจรัฐ”จึงเป็นของ พรรคการเมือง ที่มีนายทุนธุรกิจเป็นเจ้าของ ไม่ใช่เป็นของ “สภาผู้แทนราษฎร”หรือของ “คณะรัฐมนตรี” ; และ “ระบบเผด็จการ(ในระบบรัฐสภา) โดยพรรคการเมือง ตามรัฐธรรมนูญของเรา ได้สร้าง “ภาพลวงตา”ว่า เราเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ตามความเป็นจริง “สถาบัน”ทั้งสอง (สภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาล)ได้กลายเป็นเครื่องมือในการสั่งการและในการหาประโยชน์ของ “พรรคการเมือง(นายทุนธุรกิจ)”
       เมื่อ “พรรคการเมือง(นายทุนธุรกิจ)”ได้เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็หาความร่ำรวยจากการทุจริตคอร์รับชั่นจากทรัพยากรของชาติ และนำเงินที่ได้มานั้นมาแจกจ่ายให้แก่กลุ่มและพรรคพวกของตนเพื่อใช้ในการเลือกตั้ง(ในสภาพที่สังคมไทยมีความอ่อนแอ)ครั้งต่อไป และเข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐและทำการทุจริต คอร์รับชั่นจากทรัพยากรของชาติ (ในสภาพพิกลพิการของกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและระบบการบริหารของเรา ) ต่อเนื่องกันไป
       ดังนั้น เรา(คนไทย)จึงไม่ควรประหลาดใจว่า เพราะเหตุใด นักการเมืองของเราจึงมีแต่นักการเมือง (นายทุนธุรกิจ)หน้าเดิม ๆ และลูกหลานพี่น้องของนักการเมืองหน้าเดิม ๆ ; การที่เรามีนักการเมืองหน้าเดิม ๆ และลูกหลานพี่น้องของนักการเมืองหน้าเดิม ๆ ก็เพราะรัฐธรรมนูญของเราเอง (ฉบับเดียวในโลก) บังคับให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรคการเมือง ฯลฯ (ประกอบกับสภาพสังคมของเราที่ยังมีความอ่อนแอ) และผู้เขียนก็เชื่อว่า เราก็คงจะเป็นเช่นนี้ต่อไป และนักการเมือง(นายทุนธุรกิจ)ของเรา ก็จะทุจริตคอร์รัปชั่นและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของชาติ (ไม่ว่าจะเป็นคอร์รัปชั่นโดยตรงที่ไม่มีใบเสร็จหรือการคอรัปชั่นทางนโยบาย) ต่อไป
       จนกว่าประเทศไทยจะมีการปฏิรูปการเมือง (และปฏิรูปกฏหมายระบบบริหาร) ซึ่งคาดหมายในทางสังคมวิทยาได้ว่า คงจะไม่เกิดมาจากการริเริ่ม ของ elite ประเภทแรก คือ นายทุนธุรกิจ เจ้าของพรรคการเมืองที่ผูกขาดอำนาจรัฐ อยู่ในขณะนี้ หรือจนกว่าประเทศไทยจะ ................ ; และ นี่คือ อนาคตของประเทศไทยและของคนไทย ๖๓ ล้านคน
       
       ผู้เขียนเห็นว่า การที่การเลือกตั้งในวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่ปรากฎ “ผล(สัมฤทธิ)” ออกมาเช่นนั้น(ตามที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ไว้) เป็นการแสดงให้เห็นว่า คนที่ได้รับมอบหมายให้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่(หลังจากการเขียนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ มาแล้ว ๑๐ ปี) ยังคงทำ “ผิดพลาด”ในการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ( ฉบับปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๐) เช่นเดียวกับ การผิดพลาดที่ได้เคยทำมาแล้วในการเขียนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ นั่นเอง
       ผู้เขียนเห็นว่า เราคงจะโทษ “สังคม (ไทย) ”ไม่ได้ ไม่ว่าจะโทษสังคมทั้งสังคมหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของสังคม เพราะสังคม(ไทย)ประกอบด้วยคนจำนวนมาก เคยเป็นอยู่อย่างไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ; สภาพสังคม เป็นผลของการดำรงชีวิตที่ต่อเนื่องกันมาในทางประวัติศาสตร์อันยาวนานนับร้อยปี ; ดังนั้น สังคม(ไทย) จึงเป็น “สิ่งกำหนดให้ - given” ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือเปลี่ยนแปลงได้ยากและต้องใช้เวลานาน(มาก); สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ ก็คือ “กฎเกณฑ์”ของการอยู่ร่วมกันในสังคม และ กฎเกณฑ์ที่สำคัญที่สุด ก็คือ form of government หรือระบบสถาบันการเมือง (สถาบันที่ใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ) ตามรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ; ซึ่งแน่นอนว่า ในระบอบประชาธิปไตย ก็จะต้องมีการเลือกตั้งเพื่อให้มี “ผู้แทน”มาใช้อำนาจแทนประชาชนที่มีเป็นจำนวนมาก
       ผู้เขียนเห็นว่า เป็นเพราะ “ความไม่รู้” หรือ “ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว”ของนักกฎหมายและนักวิชาการของเราเอง ที่ออกแบบสร้างระบบสถาบันการเมือง ที่ทำให้ “นายทุนธุรกิจ”สามารถรวมทุนกันตั้งพรรคการเมืองและอาศัยการเลือกตั้ง(ในสภาพสังคมไทยที่อ่อนแอ) เข้ามาผูกขาดอำนาจรัฐได้ ทั้งใน “สภาผู้แทนราษฎร”และการเป็น “รัฐบาล” (ในระบบรัฐสภา – parliamentary system) ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของเรา (ประเทศเดียวในโลก)
       ถ้ารัฐธรรมนุญไม่ดี ก็ต้องโทษ“คนเขียน”รัฐธรรมนูญ(ไม่ว่า จะเป็นใคร) จะโทษสังคมไม่ได้ และคนเขียนรัฐธรรมนูญก็ไม่ควรจะแบ่งปันโทษไปให้คนอื่น คงต้องรับไปเต็ม ๆ ; และรัฐธรรมนูญฉบับใด จะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดี หรือไม่ดี ก็คงจะไปฟังจาก “คำชื่นชม” ของบรรดาผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศมากมาย ที่มาแสดงความยินดีกับท่านอดีตนายกรัฐมนตรีองค์ปาฐก ไม่ได้ เพราะต่างประเทศ (เขา)ก็มีประโยชน์ของประเทศของเขา ตามที่ท่านองค์ปาฐกอดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้แล้วในปาฐกถาของท่านเอง ; และประเทศไทย (เรา)ก็มีประโยชน์ของเรา(คนไทย) เอง ที่จะต้องรักษาไว้
       สังคมในปัจจุบัน เป็น สังคมของ “ความรู้” – knowledge society ซึ่งทุกคนทราบดี ; ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการก็ได้พยายามทำหน้าที่ของผู้เขียน คือ การให้ “ความรู้”แก่สังคมไทยด้วยการเขียนบทความ ฯลฯ ; ถ้า “Elite ในระดับผู้นำประเทศ” ไม่ว่าจะเป็นท่านผู้ใด จะมี vision และใช้ความเป็น “ผู้นำ”ของท่านในการตัดสินใจที่จะให้ “ความรู้” แก่สังคมไทยว่า “ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภา โดยพรรคการเมือง”ในรัฐธรรมนูญของเรา( ประเทศเดียวในโลก )นี้ เป็นสาเหตุของสภาพการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน(การมีคณะรัฐมนตรีโนมินี) และประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนแปลง ; และ เพียงเท่านี้ สังคมไทยก็จะมีความรู้ และสนใจที่จะแสวงหาความรู้เพิ่มขึ้น มากกว่าที่ผู้เขียนจะต้องมาเขียนบทความยาว ๒๐๐ – ๓๐๐ หน้า นี้ ; [หมายเหตุ คำว่า “การเปลี่ยนแปลง - a change” ในที่นี้ หมายถึงการเปลี่ยนแปลง “ระบบสถาบันการเมือง” ; มิใช่เปลี่ยนแต่ “ชื่อและ พ.ศ.” ของรัฐธรรมนูญเดิม มาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ยังคงใช้ “ระบบเผด็จการในระบบรัฐสภา โดยพรรคการเมือง” เหมือนเดิม ดังเช่นการเปลี่ยนแปลง จาก “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐” มาเป็น “รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๕๐ ]
       
       “Elite ในระดับผู้นำประเทศ” จะต้องตัดสินใจเอง และมี “vision”ที่จะมองไปข้างหน้าด้วยตนเอง เพราะในขณะนี้ ประเทศไทยเราแวดล้อมและเต็มไปด้วยนักกฎหมายและนักวิชาการ ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ( เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ) อยู่เป็นจำนวนมาก ; ดังนั้น Elite ในระดับผู้นำประเทศ ของเรา คงไม่สามารถพึ่งพาอาศัยนักกฎหมายและนักวิชาการ เหล่านี้ได้ และ “ความรู้ “ของนักกฎหมายและนักวิชาการเหล่านี้ ก็คงไม่ช่วยให้ “vision” ของ Elite ในระดับผู้นำประเทศ มองไปข้างหน้าได้ไกลสักเพียงใด นอกจากจะพูดคำว่า “เพื่อความเป็นประชาธิปไตย”
       ผู้เขียนขอเรียนและขอรับรองว่า ในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้วที่ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีเคยไปเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำอยู่นั้น ไม่มีประเทศใดที่มีรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง / ให้ “พรรคการเมือง”มีอำนาจบังคับ ส.ส.ให้ต้องปฏิบัติตามมติพรรค / และให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. ( เท่านั้น ) แม้แต่ประเทศเดียว ; และไม่ใช่แต่เฉพาะแต่ การไม่มีบทบัญญัติทั้ง ๓ ประการพร้อมกันเหมือนกับรัฐธรรมนูญของไทยเท่านั้น ผู้เขียนขอรับรองว่า รัฐธรรมนูญของประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้น ไม่มีบทบัญญัติแม้แต่พียงบทบัญญัติใดบทบัญญัติหนึ่ง ในบรรดาบทบัญญัติทั้ง ๓ ประการนั้น
       
       อนาคตของประเทศไทย เป็นความรับผิดชอบของ “Elite ในระดับผู้นำประเทศ” มากกว่าที่จะเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนหรือของคนไทยทั่วไป
       
       (วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ผู้เขียนยังเขียนไม่จบ)
       
       อ่านต่อ
       หน้า 28
       หน้า 29


 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544