หน้าแรก บทความสาระ
กระบวนการทางตุลาการในการควบคุมการกระทำของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ตอนที่ 2
ร.ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์
20 ธันวาคม 2547 16:10 น.
 

       
            
       2. วิธีการควบคุมทางตุลาการต่อการกระทำของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ

                   
       ในระบบการพิจารณาคดีปกครองนั้น เมื่อเกิดปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองของฝ่ายปกครอง ก็เป็นหน้าที่ของศาลปกครองที่จะพิจารณาวินิจฉัย แต่ถ้าหากการกระทำทางปกครองดังกล่าวเป็นการกระทำของประธานาธิบดี จะเป็นหน้าที่ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองที่จะทำหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัย เรื่องดังกล่าวในประเทศฝรั่งเศสมอบให้ศาลปกครองเป็นผู้ทำหน้าที่พิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองของประธานาธิบดีโดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการพิจารณาคดีปกครองประเภทเดียวกับที่พิจารณาการกระทำของฝ่ายปกครองอื่น

                   
       การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองของประธานาธิบดีสามารถทำได้ในสองลักษณะ คือ การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายที่เกิดจากภายนอกของการกระทำ และการควบคุมความชอบด้วยกฎหมายที่เกิดจากภายในของการกระทำ

                   
                   
       2.1 การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายที่เกิดจากภายนอกของการกระทำ (le controle de
       légalité externe)
การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายที่เกิดจากภายนอกของการกระทำ หมายความถึงการควบคุมความชอบด้วยกฎหมายที่มิได้มีต่อ “การกระทำ” 12 ของประธานาธิบดี แต่เป็นการควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของ “กระบวนการ” ในการทำให้เกิดการกระทำนั้น โดยสามารถแยกพิจารณาได้ 2 กรณี คือ การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากตัวผู้กระทำ และการควบคุมความชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากกระบวนการจัดทำ

                   
                   
       2.1.1 ความไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากตัวผู้กระทำ ในบรรดาการควบคุมความชอบด้วยกฎหมายที่เกิดจากภายนอกของการกระทำนั้น การควบคุม “การกระทำ” ที่ทำลงโดยปราศจากอำนาจ (incompétence) นับได้ว่าเป็นเรื่องเก่าแก่เรื่องหนึ่งของระบบพิจารณาคดีปกครองของฝรั่งเศส กล่าวคือ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยโดยเจ้าหน้าที่ผู้ “กระทำ” การต่างๆไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ ออกคำสั่งได้ทำสิ่งเหล่านั้นลงไปทั้งที่ตนไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องดังกล่าวศาลปกครองก็จะตรวจสอบและหากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้ “กระทำ” ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการดังกล่าว ศาลปกครองก็จะสั่งการให้มีการเพิกถอนการกระทำนั้นเสีย13 หลักดังกล่าวสามารถนำมาใช้กับการกระทำของประธานาธิบดีที่ได้กระทำลงไปในฐานะที่เป็นฝ่ายปกครองโดยการกระทำของประธานาธิบดีอาจเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากประธานาธิบดีเข้าไปแทรกแซงหรือเข้าไปใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ หรือเข้าไปแทรกแซงในกิจการที่เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครองอื่น

                   
                   
                   
       มีคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดหลายกรณีที่ได้วินิจฉัยถึงเรื่องการแบ่งอำนาจในการบริหารงานระหว่างประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี แต่ในที่นี้จะขอยกมาเป็นตัวอย่างนำเสนอเพียงตัวอย่างเดียว คือ เรื่องอำนาจในการออกกฎหมายของฝ่ายบริหาร 14 กล่าวคือ แม้อำนาจของประธานาธิบดีในการตรารัฐกฤษฎีกาที่มีผลเป็นกฎหมายของฝ่ายบริหาร (décrets réglementaires) จะมิได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่เนื่องจากมาตรา 9 แห่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนั้น รัฐกฤษฎีกาต่างๆที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าให้ทำโดยคณะรัฐมนตรีจึงต้องลงนามโดยประธานาธิบดี แต่อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติมีรัฐกฤษฎีกาที่มีผลเป็นกฎหมายของฝ่ายบริหารบางฉบับที่มิได้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี แต่ประธานาธิบดีได้ลงนามประกาศใช้ ซึ่งในทางกฎหมายถือว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากประธานาธิบดีทำลงโดยปราศจากอำนาจ (incompétence) เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลที่จะดำเนินการ กรณีดังกล่าวศาลปกครองสูงสุดก็ได้วินิจฉัยโดยวางบรรทัดฐานเอาไว้ว่า ความไม่ชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของประธานาธิบดีในการลงนามในรัฐกฤษฎีกาที่มีผลเป็นกฎหมายของฝ่ายบริหารจะหมดไปหากนายกรัฐมนตรีลงนามร่วม (contreseign) ในรัฐกฤษฎีกานั้น 15 โดยศาลปกครองเห็นว่าการลงนามร่วมของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายเพียงพอที่จะทำให้รัฐกฤษฎีกาฉบับนั้นมีผลสมบูรณ์ในแง่ของตัวผู้กระทำ

                   
                   
                   
       2.1.2 ความไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากกระบวนการจัดทำ ผู้พิพากษาศาลปกครองสามารถที่จะตรวจสอบการกระทำที่ไม่ทำตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด (vice de procédure) ของประธานาธิบดีในการจัดทำคำสั่ง กฎ ระเบียบต่างๆที่อยู่ในอำนาจของประธานาธิบดีที่จะจัดทำได้หรือไม่ ทั้งนี้เนื่องจากการไม่กระทำตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดเป็นปัญหาที่กระทบต่อความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองต่างๆที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาวินิจฉัย

                   
                   
                   
       กรณีดังกล่าวศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วโดยเรื่องดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากนาย Fessard de Foucault เอกอัครรัฐฑูตฝรั่งเศสประจำ Kazakhstan ได้รับโทรเลขจากกระทรวงการต่างประเทศในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ.1994 แจ้งว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ.1994 แต่งตั้งนาย Alain Ricard ไปเป็นเอกอัครรัฐฑูตแทนตน ดังนั้นนาย Fessard de Foucault จึงได้ฟ้องต่อศาล
       ปกครองสูงสุดขอให้เพิกถอนรัฐกฤษฎีกาของประธานาธิบดี16ที่ให้ตนพ้นจากตำแหน่งเอกอัครรัฐฑูต เนื่องจากไม่ทำตามมาตรา 65 แห่งกฎหมายลงวันที่ 22 เมษายน ค.ศ.1905 ที่กำหนดให้ต้องแจ้งให้ผู้ที่จะถูกให้พ้นจากตำแหน่งทราบล่วงหน้าก่อนซึ่งเรื่องดังกล่าวถือว่า เป็นการกระทำที่ผิดกระบวนการจัดทำคำสั่งที่กฎหมายกำหนด

                   
                   
                   
       2.1.3 ความไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากรูปแบบของการกระทำ การกระทำต่างๆ
       ไม่ว่าจะเป็น คำสั่ง กฎ ระเบียบ หรือแม้กระทั่งรัฐกฤษฎีกาต่างก็มีรูปแบบ (forme) ในการจัดทำซึ่งศาลปกครองให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวพอสมควร เช่น คำสั่งจะต้องมีการลงนามโดยผู้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นต้น

                   
                   
                   
       แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เป็นการกระทำของประธานาธิบดีนั้น การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากรูปแบบของการกระทำจะมุ่งเน้นไปที่การลงนามร่วม (contreseign) ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 แห่งรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต้องลงนามร่วมในการกระทำเหล่านั้น ซึ่งหากการกระทำใดๆของประธานาธิบดีที่ต้องมีการลงนามร่วมขาดการลงนามร่วม ศาลปกครองก็จะไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ประธานาธิบดีลงนามโดยปราศจากอำนาจ (incompétence) แต่จะถือเป็นความไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากรูปแบบของการกระทำ (la forme de l’acte) 17

                   
                   
       2.2 การควบคุมความชอบด้วยกฎหมายที่เกิดจากภายในของการกระทำ (le controle de la
       légalité interne) การกระทำต่างๆไม่ว่าจะเป็นคำสั่ง กฎ ระเบียบ หรือรัฐกฤษฎีกา อาจไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเกิดจากภายในของการกระทำนั้นได้18หากการกระทำเหล่านั้นทำไปโดยขัดต่อกฎหมายหรือใช้อำนาจโดยบิดผัน

                   
                   
                   
       2.2.1 การฝ่าฝืนกฎหมาย ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสามารถกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย (violation de la loi) ได้เนื่องจากไม่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายในขณะกระทำการบางอย่าง เช่น การออกรัฐกฤษฎีกา คำสั่ง กฎหรือระเบียบต่างๆ เป็นต้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาวินิจฉัย

                   
                   
                   
       เนื่องจากประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจของฝ่ายปกครองในการกระทำต่างๆฝ่ายเดียว เช่น การออกคำสั่งหรือการวางกฎเกณฑ์ต่างๆ ดังนั้น ประธานาธิบดีจึงต้องเคารพต่อหลักความชอบด้วยกฎหมายในการจัดทำรัฐกฤษฎีกา รัฐกำหนดหรือคำสั่งต่างๆตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆไว้ให้อำนาจไว้ เท่าที่ผ่านมาศาลปกครองมีโอกาสได้พิจารณาการกระทำต่างๆของประธานาธิบดีหลายครั้ง เช่น เมื่อครั้งที่นายพล Charles de Gaulle ได้มีคำสั่งตามมาตรา 16 แห่งรัฐธรรมนูญ19 จั้ดตั้งศาลทหารพิเศษขึ้นมาเพื่อพิจารณาพิพากษาความผิดต่อความมั่นคงของประเทศ ต่อมาศาลทหารพิเศษได้ลงโทษ Rubin de Servens และพวกนาย Rubin de Servens จึงได้ฟ้องศาลปกครองโดยอ้างว่าคำสั่งของประธานาธิบดีฝ่าฝืนเงื่อนไขตามมาตรา 16 แห่งรัฐธรรมนูญรวมทั้งมีการละเมิดต่อหลักกฎหมายอาญาทั่วไป และขัดต่อหลักที่ว่ากฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลัง ซึ่งต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวแล้วเห็นว่า ……… ประธานาธิบดีได้มีคำสั่งให้ใช้มาตรา 16 แห่งรัฐธรรมนูญ คำสั่งดังกล่าวมีสถานะเป็นการกระทำทางรัฐบาล (acte de gouvernment) ที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองสูงสุดที่จะพิจารณาถึงความชอบด้วยกฎหมายได้…………… และนอกจากนี้ เนื้อหาของคำสั่งดังกล่าวยังมีสาระเป็นการจัดตั้งศาลและกำหนดวิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ อันเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้อยู่ในอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะต้องตราเป็นรัฐบัญญัติ ดังนั้น คำสั่งดังกล่าวจึงมีสาระเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ อันมีสถานะเป็นการกระทำทางนิติบัญญัติ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองสูงสุดที่จะพิจารณาวินิจฉัย ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งยกคำฟ้องดังกล่าวเสีย

                   
                   
                   
       2.2.2 การใช้อำนาจโดยบิดผัน การใช้อำนาจโดยบิดผันหรือการใช้อำนาจผิดวัตถุ
       ประสงค์ที่กฎหมายกำหนด (détournement de pouvoir) เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งซึ่งศาลปกครองมีประสบการณ์อย่างมากในการพิจารณาวินิจฉัยโดยศาลปกครองจะพิจารณาจาก “มูลเหตุจูงใจ” ที่ทำให้เกิดการกระทำต่างๆที่นำมาฟ้องต่อศาลปกครองว่าเป็นมูลเหตุที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

                   
                   
                   
       ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจของประธานาธิบดีนั้นอาจเกิดกรณีใช้อำนาจผิดวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดได้ โดยหากมีการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครอง ศาลปกครองก็จะดูว่าการกระทำของประธานาธิบดีเกิดจากมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่ หากการกระทำดังกล่าวเกิดจากมูลเหตุจูงในทางการเมือง ศาลปกครองก็จะไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องดังกล่าวเนื่องจากถือว่าเป็น “การกระทำทางรัฐบาล” (acte de gouvernement) แต่ถ้าหากการกระทำดังกล่าวไม่ได้เกิดจากมูลเหตุจูงใจทางการเมืองและเป็นการกระทำในฐานะที่เป็นฝ่ายบริหาร การกระทำดังกล่าวก็จะเป็น“การกระทำทางปกครอง” (acte administratif) ที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่เกิดจากการใช้อำนาจผิดวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ดังตัวอย่างที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยไว้ในกรณีหนึ่ง คือ ในปี ค.ศ.1853 จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ได้แต่งตั้งญาติของตนคือเจ้าชายนโปเลียน โจเซฟ โบนาปาร์ต ขึ้นเป็นนายพล ต่อมาเมื่อยุคของจักรพรรดินโปเลียนสิ้นสุดลง กระทรวงกลาโหมได้พิมพ์ทำเนียบรายชื่อทหารขึ้นโดยมีการระบุชื่อนายพลต่างๆยกเว้นชื่อเจ้าชายนโปเลียน ต่อมาเจ้าชายได้มีหนังสือสอบถามไปยังกระทรวงกลาโหมถึงการที่ไม่ปรากฏชื่อของตนในทำเนียบทหารว่าเป็นเพราะการผิดพลาดหรือเป็นเพราะเจตนา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ตอบเจ้าชายว่า การแต่งตั้งเจ้าชายเป็นนายพลไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นการแต่งตั้งภายใต้เงื่อนไขพิเศษของระบอบการปกครองที่ได้ยกเลิกไปแล้วจึงทำให้การแต่งตั้งไม่เป็นผล เจ้าชายจึงฟ้องต่อศาลปกครองขอให้พิจารณาว่าการใช้อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นการใช้อำนาจผิดวัตถุประสงค์ที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ซึ่งต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นเรื่องทางการเมือง มีสถานะเป็นการกระทำทางรัฐบาล ที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะพิจารณาวินิจฉัย จึงมีคำสั่งยกฟ้องเรื่องดังกล่าว20

                   
       บทสรุป การศึกษาถึงกระบวนการทางตุลาการในการควบคุมการกระทำ (actes) ของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส สะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิดบางอย่างที่องค์กรอิสระทั้งหลายในประเทศไทยกำลังสับสนอยู่ นั่นคือ “การถูกตรวจสอบ”

                   
       แม้ที่มาของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งประเทศ และสถานะของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสจะเป็นประมุขสูงสุดของประเทศก็ตาม แต่บรรดาการกระทำทั้งหลายของประธานาธิบดี ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางรัฐบาล (actes de gouvernment) หรือการกระทำทางปกครอง (acte administratif) ก็จะต้องถูกตรวจสอบโดยกลไกที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อให้ประธานาธิบดีใช้อำนาจของตนเองภายในกรอบที่กฎหมายกำหนด

                   
       บทความนี้มีเจตนาเพียงการสร้าง “กระแส” ความคิดว่า บรรดา “การกระทำ” ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญต่างๆไม่ว่าการกระทำเหล่านั้นจะเป็นการออกกฎ ระเบียบ คำสั่ง หรืออาจเป็นคำวินิจฉัย คำพิพากษา ฯลฯ นั้น น่าจะมีการศึกษากันอย่างละเอียดต่อไปว่า สมควรมีการ “ตรวจสอบ” บรรดาการกระทำต่างๆเหล่านั้นได้หรือไม่ หากการกระทำเหล่านั้น “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” จะทำเช่นไรเพราะจากตัวอย่างของฝรั่งเศสที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดจะเห็นได้ว่า แม้ประธานาธิบดีออกคำสั่งผิดยังถูกศาลปกครองตรวจสอบได้ ไฉนเลยองค์กรอิสระในประเทศไทยจะถูกตรวจสอบการกระทำของตนเองไม่ได้


       


       
เชิงอรรถ


                   12. การควบคุมดังกล่าวไม่ใช่การควบคุมในตัวคำสั่ง กฎ ระเบียบ หรือการกระทำต่างๆที่เป็นของประธานาธิบดี แต่จะเป็นการควบคุมถึง “วิธีการ” “ขั้นตอน” หรือ “รูปแบบ” ก่อนที่จะเกิดคำสั่ง กฎ ระเบียบ หรือการกระทำต่างๆว่าทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นการควบคุม “ภายนอก” ของการกระทำ
[กลับไปที่บทความ]


                   
       13. ระบบการบริหารงานและระบบการปกครองของฝรั่งเศสไม่ยอมรับการที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจกระทำจะมาให้สัตยาบันต่อการกระทำที่ทำลงโดยปราศจากอำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ไม่มีอำนาจกระทำ
[กลับไปที่บทความ]


                   
       14. รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสฉบับปัจจุบันได้จำกัดอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติไว้ว่าสามารถจัดทำกฎหมายได้เฉพาะในเรื่องที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากมาตรา 34 เป็นอำนาจและหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะจัดทำกฎหมายของฝ่ายบริหาร (réglementaire)
[กลับไปที่บทความ]


                   
       15. คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดี Sicard et autres ลงวันที่ 27 เมษายน ค.ศ.1962
[กลับไปที่บทความ]


                   
       16.มาตรา 13 วรรค 3 แห่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้ง
       เอกอัครรัฐฑูต
[กลับไปที่บทความ]


                   
       17. คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดี Lemaresquier ลงวันที่ 25 มกราคม ค.ศ.1963
[กลับไปที่บทความ]


                   
       18. การควบคุมดังกล่าวเป็นการควบคุมใน “เนื้อหา” ของการกระทำ
[กลับไปที่บทความ]


                   
       19. “มาตรา 16 ในกรณีที่สถาบันแห่งสาธารณรัฐ ความเป็นเอกราชของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดนหรือการปฏิบัติตามพันธะกรณีระหว่างประเทศถูกคุกคามอย่างร้ายแรงและปัจจุบันทันด่วน จนเป็นเหตุให้การดำเนินการตามปกติของสถาบันการเมืองแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญหยุดชะงักลง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐมีอำนาจดำเนินมาตรการที่จำเป็นสำหรับจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยจะต้องปรึกษาหารืออย่างเป็นทางการกับนายกรัฐมนตรี และประธานสภาทั้งสองและคณะตุลาการ
       รัฐธรรมนูญก่อน

                   
       ประธานาธิบดีจะต้องแถลงการใช้มาตรการฉุกเฉินดังกล่าวให้ประชาชนทราบ

                   
       มาตรการดังกล่าวจะต้องดำเนินไปในระยะเวลาจำกัดที่สุดและเป็นไปเฉพาะเท่าที่มีความจำเป็นเพื่อให้การดำเนินการของสถาบันการเมืองแห่งรัฐเป็นไปได้ตามปกติ โดยประธานาธิบดีจะต้องปรึกษาหารือกับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญในเรื่องการใช้มาตรการดังกล่าว

                   
       รัฐสภาเปิดสมัยประชุมได้เอง

                   
       ระหว่างที่มีการใช้อำนาจฉุกเฉินดังกล่าว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้”
[กลับไปที่บทความ]


                   
       20. คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดี Prince Napoléon ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1975
[กลับไปที่บทความ]


       


       



       
       ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2544


       




 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับสมาคมศาลปกครองสูงสุดระหว่างประเทศ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544