หน้าแรก บทความสาระ
วิธีทางกฎหมาย จากหัวข้อข่าวกรณี”ข้อกล่าวหาการทุจริตในสถาบันอุดมศึกษา”
รองศาสตราจารย์เจริญศักดิ์ ศาลากิจ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
16 ธันวาคม 2555 21:16 น.
 
ครูกฎหมายปกครองได้สั่งไว้ว่า “กฎหมายปกครองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำ ถ้าต้องการมีความรู้ในกฎหมายปกครองต้องหมั่นติดตามศึกษาและขบคิดค้นคว้าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหัวข้อข่าวของหนังสือพิมพ์ประจำวัน ซึ่งจะปรากฏทัศนคติทางกฎหมายของประชาชนในสังคมและบ่งบอกสถานะภาพความเจริญของกฎหมายปกครอง” ดังนั้นตามหัวข้อข่าวว่า “จ่อสอบวินัยอธิการ’มมส.’ สร้างตึก-เบิกเงิน มิชอบ” แสดงการใช้กฎหมายตรวจสอบหน่วยงานทางปกครองและปรากฏข่าวเพิ่มเติมอีก ๒ ฉบับ ซึ่งในแต่ละฉบับมีประเด็นเรื่องอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติของหน่วยงานทางปกครอง จึงเป็นวัตถุประสงค์ของบทความฉบับนี้เพื่อศึกษาพฤติการณ์ต่างๆที่ปรากฏในข่าวโดยเปรียบเทียบกับบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อประโยชน์ในการติดตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และเพื่อศึกษาวิธีทางกฎหมายสำหรับการแก้ไขปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นในสถาบันอุดมศึกษา
       
        
       สรุปสาระสำคัญของหัวข้อข่าวมติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ หน้าที่ ๑ “จ่อสอบวินัยอธิการ’มมส.’ สร้างตึก-เบิกเงิน มิชอบ”
        
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคมที่ผ่านมา ผู้ตรวจเงินแผ่นดินภาค 7 ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการแผ่นดิน ได้ลงนามในหนังสือประทับตรา”ลับมาก” ถึงบุคคลต่างๆและผู้ถูกกล่าวหาจำนวนทั้งสิ้น ๘ ราย” แสดงถึงความประสงค์ของผู้ริเริ่ม (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) แจ้งพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาไปยังหัวหน้าหน่วยงานสำคัญเพื่อดำเนินการตรวจสอบผู้ถูกกล่าวหาด้วยการใช้อำนาจของสภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม อำนาจของคณะกรรมการการอุดมศึกษา อำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) อำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อำนาจของกระทรวงศึกษาธิการ และอำนาจของสำนักนายกรัฐมนตรี
        
       เนื้อหาของข่าวได้ระบุว่า “ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินอาศัยอำนาจตามมาตรา ๔๖[1] แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๓๐๑ วรรคท้าย ประกอบมาตรา ๓๐๒ (๓) พิจารณาแล้วเห็นชอบกับผลการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ๒ กรณี คือ กรณีการเบิกจ่ายเงินล่วงหน้าให้บริษัทเอกชนฯ และ กรณีเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษฯ” เป็นข้อกล่าวหาต่ออธิการบดี
        
       จากเนื้อหาของข่าวในฐานะผู้อ่านที่ได้รับข้อมูลอย่างจำกัดและเชื่อมั่นในการพิสูจน์เนื้อหาตามอักษรที่ถูกต้อง ผู้เขียนสรุปข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นต่ออธิการบดีทั้ง ๒ กรณีเกิดขึ้นจากการกระทำทางปกครอง ๒ ประการ คือ
        
       ประการที่ ๑ อธิการบดีกระทำการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงินหรือทรัพย์สินของราชการ ซึ่งเป็นการกระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ และผลของการกระทำละเมิดเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต
        
       ประการที่ ๒ อธิการบดีกระทำการเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต
        
       อธิการบดีเป็นข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาจึงมีหน้าที่ต้องรักษาวินัยข้าราชการตามความในมาตรา ๓๗[2] พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ดังนั้นข้อกล่าวหาเรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต จึงเป็นข้อหาการกระทำความผิดวินัยร้ายแรงตามมาตรา ๓๙[3] ของระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งตามสาระจากข่าวประจำวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ สรุปเหตุการณ์ได้ดังนี้
        
       ประเด็นที่ ๑ การจัดทำเอกสารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินถึงหน่วยงานต่างๆ แสดงให้เห็นถึง ความประสงค์ของวิธีการตรวจสอบที่มีความต้องการให้หน่วยงานทางปกครองต่างๆได้พิจารณาใช้อำนาจทางปกครองของหน่วยต่างๆ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินโดยอาศัยอำนาจตามวรรคท้ายของมาตรา ๓๐๑[4] แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ และเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๔๒ คือ “การกล่าวหาให้ดำเนินคดีต่ออธิการบดี”
        
       ประเด็นที่ ๒ ข้อกล่าวหาทั้งสองกรณีเป็นการกล่าวหาใน เรื่องการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงินหรือทรัพย์สินของราชการ เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเรื่องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต(หรือกระทำการทุจริต)
        
       ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ พบการตอบรับของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาโดยรองเลขาธิการฯ ความว่า “สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้รับหนังสือจากผู้ตรวจเงินแผ่นดินภาค ๗ (ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน) โดยจะตั้งกรรมการสอบวินัย และการพิจารณาให้ออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่นั้น ตามหลักการแล้วถ้าคดียังไม่ถึงที่สุดยังไม่ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย” การปฏิบัติดังกล่าวเป็นการกระทำตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด เพราะถ้าเพิกเฉยไม่ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยย่อมนำความเสี่ยงมาสู่เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาความว่า “ผู้บังคับบัญชาผู้ใดเมื่อปรากฏว่ามีมูลที่ควรกล่าวหาว่า ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดกระทำผิดวินัย ละเลยไม่ดำเนินการทางวินัยตามหมวด ๖ ให้ถือว่า ผู้นั้นกระทำผิดวินัย”
        
       
       มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ หน้าที่ ๓ “เชื่อนายกสภามมส.ฟันอธิการบดี”
        
       เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้ข่าวว่า”ในสัปดาห์หน้าจะหาบุคคลมาเป็นคณะกรรมการสอบวินัยอธิการบดี (มมส)” แต่ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า”ตามขั้นตอนของพรบ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ นั้น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษามีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของอธิการบดีฯ น่าจะตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอธิการบดีได้ แต่เนื่องจากมหาวิทยาลัยมี พรบ.เป็นของตนเอง หน้าที่นี้จึงเป็นของนายกสภามหาวิทยาลัย และถ้าสภามหาวิทยาลัยฯมีข้อบังคับหรือระเบียบว่าด้วยการดำเนินการทางวินัยกับอธิการบดี แม้ว่า สกอ.จะเป็นผู้บังคับบัญชา ก็ไม่สามารถดำเนินการถอดถอนได้เพราะต้องเป็นไปตามข้อบังคับของสภามหาวิทยาลัยฯ”
        
       เนื้อหาในหัวข้อข่าวดังกล่าวเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญทำให้เกิดบทความฉบับนี้ เพราะเนื้อหาของข่าวแสดงถึงสาระสำคัญที่ขัดแย้งต่อกันอย่างเด่นชัดของความเป็นเจ้าภาพที่แท้จริง จนเชื่อได้แน่ว่า ในเร็ววัน(หรือสัปดาห์หน้าตามข่าวของรองเลขาธิการฯ) ไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอธิการบดีโดยคณะกรรมการการอุดมศึกษา เช่นเดียวกับเชื่อว่าไม่มีการสอบวินัยอธิการบดีด้วยอำนาจของสภามหาวิทยาลัยฯเพราะเหตุสภามหาวิทยาลัยฯมีเพียงอำนาจแต่งตั้งและถอดถอน เท่านั้น
        
       การบังคับใช้กฎหมายนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมาย แต่ภาพข่าวที่รายงานในหนังสือพิมพ์คงปรากฏเรื่องราวทำให้เกิดความเชื่อว่าไม่มีหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพที่แท้จริง เป็นเสมือนรถยนต์ที่อยู่ในสภาพเกียรว่าง ในขณะที่ไม่ปรากฏข่าวของหน่วยงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายในมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการ ปปช. และคณะกรรมการ ปปง. จึงเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นวิธีทางกฎหมายตามหัวข้อข่าวว่า สังคมสับสนในประเด็นของข่าว เพราะข่าวเกิดเหตุการณ์สำคัญ คือ “การแจ้งข้อกล่าวหาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี” แต่การนำเสนอข่าวกลับเป็นเรื่องอำนาจของการสอบวินัย เรื่องขั้นตอนการพักราชการในขณะที่มีการสอบวินัย ตลอดจนเกิดประเด็นใหม่ในเรื่องศีลธรรมจรรยาบรรณ รวมทั้งการทำหน้าที่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสภามหาวิทยาลัย
       
        
       มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ หน้าที่ ๕ “มมส. ถกปม สตง.ชี้ทุจริต”
        
       ผู้สื่อข่าวได้รายงานข่าวการประชุมสภามหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นวาระพิเศษเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ โดยอธิการบดีให้ข่าวว่า ได้ชี้แจ้งข้อกล่าวหาอย่างครบถ้วนและสภามหาวิทยาลัยจะนัดประชุมวาระพิเศษอีกครั้งในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมฯมอบให้ฝ่ายกฎหมายไปศึกษาข้อกฎหมายรวมถึงแนวทางการดำเนินการกรณีดังกล่าวใน ๓ แนวทาง ดังนี้
                       ๑ เห็นควรให้นายกสภาฯ มมส. มีหนังสือถึงเลขาธิการ กกอ. เพื่อดำเนินการทางวินัยกับอธิการบดี
                       ๒ หารือ สกอ.ว่า สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจออกมติจ่ายเงินค่าตอบแทนให้อธิการบดีได้หรือไม่
                       และ ๓ เห็นควรให้ มมส. รายงานผลการดำเนินงาน การตรวจสอบให้สภา มมส. รับทราบทุก ๖๐ วัน เพื่อสภา มมส แจ้ง สตง.ทราบทุก ๙๐ วัน
        
       แนวทางดังกล่าวอาจเป็นหัวข้อในวาระการประชุมของสภามหาวิทยาลัยในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ โดยสภามหาวิทยาลัยอาจลงมติให้เลขาธิการ กกอ ดำเนินการทางวินัยกับอธิการบดี ซึ่งสภามหาวิทยาลัยจะมีสถานะเป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับคณะกรรมการผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ภายใต้กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในมาตรา ๔๙ วรรคท้าย ความว่า “ในกรณีอธิการบดีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย คำว่าผู้บังคับบัญชาตามมาตรานี้ให้หมายถึงผู้บังคับบัญชาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ” ประกอบความในมาตรา ๓๐ วรรคสี่แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสถานศึกษาของรัฐในสังกัดที่เป็นนิติบุคคลที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตรี
        
       ประเด็นเรื่องกรณีเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ นั้นสภามหาวิทยาลัยอาจมีมติขอหารือกับ สกอ.ว่า “สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจในการออกมติจ่ายค่าตอบแทนแก่อธิการบดี หรือไม่” ก่อนการลงมติดังกล่าวควรมีการพิจารณาเรื่องอำนาจภายใต้หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครอง โดยกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในมาตรา ๘ วรรคสองความว่า”ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาอาจได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษหรือเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้ที่มีคุณวุฒิหรือความสามารถเป็นพิเศษก็ได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. กำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง”
        
       การออกกฎในเรื่องเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ(ค่าตอบแทนพิเศษ) นั้น ไม่สามารถตรวจพบได้ประกาศเรื่องกฎจาก ก.พ.อ. แสดงให้เห็นว่าเกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายในเรื่องค่าตอบแทนพิเศษในสถาบันอุดมศึกษาทั่วไป ดังนั้นสภามหาวิทยาลัยควรทบทวนการใช้อำนาจทางปกครองในสถาบันอุดมศึกษาที่มีลักษณะขาดหลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครอง โดยเฉพาะหลัก “ไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจ” และควรเพิกถอนกฎที่ออกโดยปราศจากอำนาจของสภามหาวิทยาลัยเพื่อไม่ให้เกิดการเพิกถอนด้วยอำนาจตุลาการเป็นคดีในศาลปกครอง
       
        
       บทสรุป
        
       ความคิดของผู้ใช้กฎหมายในหน้าหนังสือพิมพ์ได้แสดงทัศนะต่างๆในทิศทางที่หลากหลายซึ่งส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายทั้งนี้ เพราะการนำเสนอข่าวที่ขาดการตรวจสอบเนื้อหาของตัวบทกฎหมาย และความเชื่อที่หลงผิดว่า”มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานอิสระเพราะมีกฎหมายเป็นของตนเอง” โดยความจริงมหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีกฎหมายกำหนดโครงสร้างหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยเฉพาะของตนเอง แต่การปฏิบัติหน้าที่ราชการของข้าราชการในมหาวิทยาลัยหรือการแสดงเจตนาทางกฎหมายของมหาวิทยาลัยต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและกฎหมายอื่นๆ
        
       เนื้อหาของข่าวภายใต้วิธีทางกฎหมายที่ขาดความรู้ในตัวบทและไม่มีการวิเคราะห์ถึงขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมาย ย่อมนำสาระของปัญหาการทุจริตในสถาบันอุดมศึกษาออกไปสู่ข้อเสนอใหม่ในเรื่องศีลธรรมจรรยาบรรณ เรื่องของคนดี เป็นแนวทางการแก้ปัญหาทุจริตในสังคมไทย ซึ่งมีข้อพิสูจน์ในหลายเหตุการณ์ว่า”คนดีนั้นไม่ดีจริงจนเกิดปัญหาทุจริตเพราะคนดีในสังคมไทย”  
        
       ขณะที่มนุษย์ทั่วทั้งโลกเชื่อว่า “กฎหมายเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการแก้ไขปัญหาในสังคมมนุษย์” ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องจะช่วยในการแก้ไขปัญหาการทุจริตได้ และสังคมไทยมีกฎหมายอยู่อย่างเพียงพอในการแก้ไขปัญหาทุจริต จึงขอเรียกร้องให้มีการติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐภายใต้หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครอง ดังนี้
        
       ๑ นักหนังสือพิมพ์ควรติดตามการดำเนินงานของพนักงานสอบสวนคดีตามคำร้องสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และรายงานข่าวการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานสอบสวนของหน่วยงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการ ปปช. และคณะกรรมการ ปปง.
        
       ๒ ผู้สื่อข่าวควรติดตามการทำหน้าที่ของเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาในประเด็นการลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอธิการบดี เพราะเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาเป็นผู้บังคับบัญชาของอธิการบดีฯโดยชอบด้วยกฎหมายตามความในมาตรา ๔๙ วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ ประกอบความในมาตรา ๓๐ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามความในมาตรา ๔๙ วรรคแรก[5] แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗
        
       โดยสรุป วิธีทางกฎหมายจากหัวข้อข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ยังขาดความถูกต้องแม่นยำในตัวบทกฎหมาย แสดงถึงพัฒนาการทางกฎหมายปกครองในสังคมไทยยังต้องการทำงานอย่างเข้มแข็งของหน่วยงานต่างๆทางกฎหมายมหาชนเพื่อช่วยกันจุดแสงเทียนแห่งปัญญาสำหรับการพัฒนาหลักทางกฎหมายปกครอง โดยเฉพาะสถาบันอุดมศึกษาของรัฐจะต้องกระทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีภายใต้หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครอง และควรเลิกวิธีทางกฎหมายภายใต้ทฤษฎีการตีความของกลุ่มนักนิติกรบริการ
        
       ............................................................................
        
       

       
       

       
       

       [1] มาตรา ๔๖  “ในกรณีคณะกรรมการพิจารณาผลการตรวจสอบแล้วปรากฏว่า มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นการทุจริตหรือมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงินหรือทรัพย์สินของทางราชการ ให้คณะกรรมการแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี และให้คณะกรรมการแจ้งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้ผู้รับตรวจ หรือเกระทรวงเจ้าสังกัด หรือผู้บังคับบัญชา หรือผู้ควบคุมกำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจ แล้วแต่กรณี ดำเนินการตามกฎหมายหรือตามระเบียบแบบแผนที่ราชการหรือที่หน่วยรับตรวจกำหนดไว้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบด้วย
                               การดำเนินคดีตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนนำรายงานการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมาใช้เป็นหลักในการสอบสวน
                               เมื่อพนักงานสอบสวน ผู้รับตรวจ กระทรวงเจ้าสังกัด ผู้บังคับบัญชา หรือผู้ควบคุมกำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจตามวรรคหนึ่ง ดำเนินการไปประการใดแล้วให้แจ้งให้คณะกรรมการทราบภายในทุกเก้าสิบวัน
                               ในกรณีที่พนักงานสอบสวน ผู้รับตรวจ กระทรวงเจ้าสังกัด ผู้บังคับบัญชา หรือผู้ควบคุมกำกับหรือรับผิดชอบของหน่วยรับตรวจไม่ดำเนินการตามวรรคหนึ่งภายในเวลาอันสมควรให้คณะกรรมการรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและคณะรัฐมนตรี”

       
       

       [2] มาตรา ๓๗ “ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องรักษาวินัยและจรรยาบรรณตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้โดยเคร่งครัด

       
       

       [3] มาตรา ๓๙” ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงธรรม และดูแลเอาใจใส่รักษาประโยชน์ของทางราชการ
       ห้ามมิให้อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าทีราชการของตนไม่ว่าจะโดยตรงหรือทางอ้อมหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น
       การปฏิบัติหรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
       ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของทางราชการ
       การปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของทางราชการ หรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง”

       
       

       [4] ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่แทนประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

       
       

       [5] มาตรา ๔๙ ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดถูกกล่าวหาโดยมีหลักฐานตามสมควรว่าได้กระทำผิดวินัย หรือความปรากฏต่อผู้บังคับบัญชาว่าข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ใดกระทำผิดวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยพลันและต้องสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยไม่ชักช้า เว้นแต่เป็นกรณีการกระทำผิดวินัยที่มิใช่ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดเจนตามที่ ก.พ.อ. กำหนด จะไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ได้

       



 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544