หน้าแรก บทบรรณาธิการ
 
ครั้งที่ 124
25 ธันวาคม 2548 22:59 น.
"นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติวิพากษ์ระบบการทำงานวิจัย"
       ผมเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยได้สามสี่วันแล้วครับ ไปคราวนี้นับได้ว่าเป็นการไปในฐานะ visiting professor ที่ใช้เวลาน้อยมาก ทั้ง ๆ ที่ตามสัญญาแล้วผมต้องอยู่ที่เมือง Aix-en-Provence หนึ่งเดือนและสอนไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง แต่เนื่องจากผมมีงานที่ค้างอยู่เยอะมาก จึงขอเขาอยู่แค่ 2 สัปดาห์และสอน 4 หน ก็เลยกลับได้เร็วกว่าปกติโดยไม่ขาดสอนครับ
       บทบรรณาธิการนี้เป็นบทบรรณาธิการสุดท้ายของปีนี้ครับ  ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เกิดความสับสนและวุ่นวายในแวดวงกฎหมายและนักกฎหมายมาก เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ หลายเหตุการณ์ที่เราพยายาม “โทษ” กันว่าเป็นผลที่เกิดจากตัวรัฐธรรมนูญ จากองค์กรต่าง ๆ ที่รัฐธรรมนูญจัดตั้งขึ้นมา จากการแปลความรัฐธรรมนูญ หรือจากผู้ใช้รัฐธรรมนูญ โทษกันไปโทษกันมาในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบว่าจะทำอย่างไรดีกับรัฐธรรมนูญ กับองค์กรตามรัฐธรรมนูญ กับผู้ใช้รัฐธรรมนูญและกับรัฐธรรมนูญที่ต่างฝ่ายต่างก็มีมุมมองของตัวเองครับ ในส่วนของผมเองนั้นผมก็ได้พยายามทำหน้าที่นักวิชาการให้ดีที่สุดโดยบทบรรณาธิการแทบจะทุกครั้งผมได้แสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางด้านกฎหมายมหาชนที่เกิดขึ้น ซึ่งหลายครั้งที่มีคนเห็นด้วยบ้างและบางครั้งก็มีการโต้แย้งมาบ้าง จริง ๆ แล้วปัญหาที่เกิดจากรัฐธรรมนูญเป็นปัญหาที่นักวิชาการจำนวนหนึ่งทราบกันมานานแล้วครับ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาหากผู้ใช้บริการ website แห่งนี้จำได้ คงจำบทความของผมที่เผยแพร่ใน www.pub-law.net เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ หลังการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรได้ ผมได้เขียนบทความชื่อ“ถึงท่านผู้นำ” โดยผมได้คาดการณ์ว่าจะเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมายจากการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในบทความดังกล่าวผมได้ขอให้นายกรัฐมนตรีทำการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 ด้วยการ “ศึกษา” และ “ปรับปรุง” รัฐธรรมนูญให้ดีขึ้นและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีทำการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 สำเร็จ โอกาสที่จะเป็น “รัฐบุรุษ” ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม หลังจากบทความเผยแพร่ใน www.pub-law.net และในหนังสือพิมพ์บางฉบับ ก็มี “ผู้ใหญ่” คนหนึ่งขอให้ผมหยุดเขียนบทความในลักษณะ “วิจารณ์” หรือ “กระแนะกระแหน” (คำหลังนี้เป็นคำที่ผู้ใหญ่คนนั้นใช้ครับ !!!) นายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับนักวิชาการจำนวนหนึ่ง ผมจึง “หยุด” พูดถึงและกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีครับ !!! ส่วนนายกรัฐมนตรีจะได้อ่านบทความของผมหรือไม่ผมไม่ทราบ แต่ที่ทราบก็คือ วันนี้มีเสียงเรียกร้องมากเหลือเกินจากหลาย ๆ วงการขอให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อเป็นการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 โดยมุ่งเน้น “เป้า” ไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก เสียดายโอกาสในการเป็น “รัฐบุรุษ” ของนายกรัฐมนตรีเหลือเกินครับ หากได้เป็นผู้ “เริ่มต้น” ก็คงจะดีมากกว่าเป็น “ปัญหา” เพื่อให้คนอื่นเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญนะครับ
       
       พอถึงสิ้นปี สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะทำกันก็คือ ทบทวนตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองในรอบปีที่ผ่านมา แม้ผมพอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวผมในรอบปี 2548 แต่ก็ไม่เต็มที่เสียทีเดียว งานทุก ๆ ที่ที่ผมทำหรือมีส่วนร่วมในการทำส่วนใหญ่ก็เป็นไปได้ด้วยดีถึงดีมาก คงมีงานวิชาการส่วนตัวเท่านั้นที่ไม่ค่อย “พอใจ” เท่าไหร่เพราะผมทำงานวิชาการน้อยมาก ตั้งใจจะเขียนหนังสือใหม่อีก 1 เล่มก็ยังไม่ได้เริ่มต้น งานวิจัย “เล็ก ๆ” 2 ชิ้นก็ยังไม่เสร็จ บทความก็มีน้อยมากครับ ทั้งนี้ ก็เพราะมีสิ่งต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวันตลอดเวลา เฉพาะการประชุมของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่ผมเป็นอยู่ก็หมดเวลาไปกว่าครึ่งหนึ่งของเวลาในแต่ละวันแล้ว ปีใหม่ก็คงต้องเริ่มต้นคิดและจัดแบ่งเวลาใหม่เพื่อให้สามารถทำงานวิชาการได้สำเร็จสมความตั้งใจภายในปี 2549 นี้ครับ
       มีสิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจผมมาตลอดระยะเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา แต่ผมก็ไม่กล้าพูดมากแล้วก็ไม่ค่อยอยากพูดเท่าไร ประกอบกับไม่รู้จะพูดที่ไหนด้วย ก็เลยปล่อยเฉย ๆ เอาไว้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ “วิจัย” ครับ! ตอนนี้ผมคงสามารถพูดได้แล้วเพราะผมเป็น “นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขานิติศาสตร์ ประจำปี 2548” ในฐานะนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ก็คงต้องพูดอะไรบ้างโดยเฉพาะในส่วนที่เป็น “ปัญหา” ที่เกิดขึ้นกับ “ระบบ” งานวิจัยของเราครับ
       ผมทำงานวิจัยมาเกือบ 10 ปี เป็นระยะเวลาที่ไม่นานเท่าไรนัก ในรอบเกือบ 10 ปีผมทำงานวิจัยจำนวนไม่มาก เฉลี่ยแล้วไม่เกินปีละ 2 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นโครงการ “เล็ก ๆ” ที่ใช้ระยะเวลาทำไม่เกิน 1 ปีและได้ค่าตอบแทนไม่มากนัก ประสบการณ์ของการทำวิจัยของผมมีอยู่ไม่ค่อยมาก แต่จากปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองและที่เกิดขึ้นกับเพื่อนนักวิจัยบางคน พอจะแยกนำมาเล่าให้ฟังได้ใน 5 ประเด็นปัญหาใหญ่ ๆ ด้วยกันที่ผมคิดว่าเป็น “ปัญหา” ที่ส่งผลโดยตรงต่อ “คุณภาพ” ของงานวิจัยในบ้านเรา ปัญหาเหล่านั้นคือ ตัวผู้วิจัยหลัก คณะผู้วิจัย ค่าตอบแทน กระบวนการทำวิจัย ผลการวิจัย
       ในส่วนที่เกี่ยวกับ “ตัวผู้วิจัยหลัก” นั้น ผมเข้าใจว่าเรายังไม่มี “หลักเกณฑ์” ที่แน่นอนสำหรับคุณสมบัติของการเป็นผู้วิจัยครับ งานวิจัยหลาย ๆ เรื่องที่ผมเห็นว่ามีการให้ผู้ที่เพิ่งเรียนหนังสือจบมาใหม่ ๆ ทำ บางคนอายุยังไม่ถึง 30 ปี และไม่มีประสบการณ์ใด ๆ เลยนอกจากเรียนหนังสืออย่างเดียว นี่เป็นสิ่งที่ผมอึดอัดใจมาตลอดเพราะสำหรับผมนั้น คนที่จะเป็น “ผู้วิจัย” ได้อย่างน้อย “ผู้ว่าจ้าง” ต้องสรรหาผู้ที่มีคุณสมบัติ “มากที่สุด” เท่าที่จะทำได้ เช่น เรียนจบปริญญาเอกในด้านที่จะทำการวิจัยและมีประสบการณ์ “อย่างมาก” ในสาขาที่จะทำวิจัยด้วย ทั้งนี้ เพราะงานวิจัยไม่ใช่การเขียนบทความ หนังสือหรือตำรา แต่งานวิจัยเป็นการ “ศึกษาวิเคราะห์” ถึงปัญหาเฉพาะที่มีลักษณะพิเศษซึ่งผู้ที่จะทำการศึกษาและหาทางออกให้กับปัญหาเหล่านั้นได้จะต้องนำเอาความรู้ความสามารถอย่างสูงของตนเองบวกกับประสบการณ์ที่สะสมมานานในชีวิตมาปรับเข้ากับปัญหาที่เกิดขึ้นและทำการศึกษาค้นคว้าต่อไปเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับปัญหานั้นครับ นี่คือ “ความเข้าใจ” ส่วนตัวของผมสำหรับคุณสมบัติของการเป็นผู้วิจัย ซึ่งในประเด็นนี้เอง หลาย ๆ คนคงพอทราบได้ว่าในบ้านเรานั้นการ “แจก” งานวิจัยของบางหน่วยงานไม่ได้คำนึงถึงความสำคัญของตัวผู้วิจัยเป็นหลัก แต่จะไปคำนึงถึงเรื่องอื่น ๆ หรือความสัมพันธ์เฉพาะด้านเสียมากกว่า จริง ๆ แล้วผมสามารถยกตัวอย่างที่ผม “รับรู้” ได้มากแต่เพื่อมิให้เป็นการ “สร้างศัตรู” ขึ้นมาอีกโดยไม่จำเป็นก็คงไม่ขอนำมากล่าวไว้ ณ ที่นี่ครับ
       สำหรับ “คณะผู้วิจัย” ซึ่งเป็นปัญหาประเด็นที่สองของผมนั้น คณะผู้วิจัยมีความสำคัญมากสำหรับงานวิจัยไม่แพ้ผู้วิจัยหลักครับ เพราะผู้วิจัยต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นคณะผู้วิจัยนั้น จะต้องทำงานให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางที่ผู้วิจัยหลักซึ่งเป็น “หัวหน้าทีม” เป็นผู้กำหนด ในบางครั้ง คณะผู้วิจัยอาจประกอบด้วยบุคคลจาก “ศาสตร์” ต่าง ๆ เพื่อให้ผลที่ออกมาของงานวิจัยนั้นครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน เช่น งานวิจัยด้านนิติศาสตร์ในบางครั้งก็จะมีนักรัฐศาสตร์หรือนักเศรษฐศาสตร์เข้ามาร่วมด้วยครับ คุณสมบัติของคณะผู้วิจัยจึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกับคุณสมบัติของตัวผู้วิจัยหลัก แต่ก็อาจเป็นรองอยู่บ้างเพราะหาก “หัวหน้าทีม” มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์สูงเป็นที่ยอมรับแล้ว ก็คงจะกำหนดทิศทางของงานวิจัยนั้นเป็นไปในทางที่ดีได้ครับ ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้บางหน่วยงานและนักวิจัยบางคนก็อาจจะไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก คงดูเฉพาะตัวผู้วิจัยหลักเป็นเกณฑ์ ส่วนคณะผู้วิจัยนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะมอบให้อยู่ในความรับผิดชอบของ “หัวหน้าทีม” ครับ ประสบการณ์ที่ผมได้เคยพบมากับตนเองในส่วนที่เกี่ยวกับคณะผู้วิจัยนั้นก็มีหลายเรื่องที่แปลก ๆ มีงานวิจัยด้านนิติศาสตร์ที่หน่วยงานผู้ว่าจ้างหรือบางคนในหน่วยงานพยายามที่จะเพิ่ม “ศาสตร์” แปลก ๆ เข้ามาในงานวิจัยเพื่อให้ “คน” ของตัวเองหรือให้ตัวเองเข้ามาทำงานวิจัยนั้นด้วยก็มีครับ โชคดีที่ผมสามารถเอาตัวรอดมาได้ ไม่งั้นคงอาจไม่ได้เป็น “นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ” ก็ได้ เพราะผมคงต้องไปนั่งสอบถาม “คู่ความ” ว่าพอใจการพิจารณาคดีของ “ศาล” หรือไม่แล้วก็มานั่งทำตารางแปลก ๆ ใส่ในงานวิจัยครับ !!! แต่ที่แปลกมาก ๆ กว่าก็คือ ในบางครั้งผมพบว่าหน่วยงานบางแห่ง “สามารถ” มอบงานวิจัยให้ผู้ที่มีอาวุโสน้อยมากหรือถ้าเป็นอาจารย์ก็อยู่ในระดับ “ผู้ช่วยศาสตราจารย์” ให้เป็น “หัวหน้าทีม” โดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมาเลยว่าจะมีนักวิชาการระดับสูงหรืออาจารย์ระดับ “รองศาสตราจารย์” หรือ “ศาสตราจารย์” ผู้ใด “อยาก” เข้ามาเป็น “ลูกทีม” ครับ เพราะในวงการวิชาการของเรานั้น ส่วนใหญ่ก็ยังคงยึดติดกับ “ตำแหน่งทางวิชาการ” อยู่เป็นอย่างมากครับ !!!
       ในส่วนที่เกี่ยวกับ “ค่าตอบแทน” นั้น ก็เป็นปัญหาที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่งที่นักวิจัยส่วนใหญ่พบกันมากครับ เริ่มตั้งแต่การที่หน่วยงานจำนวนมากใช้ระบบการทำสัญญา “พัสดุ” กับงานวิจัยที่ทำให้นักวิจัยต้องหา “เงินก้อน” มาประกันผลงานก่อนที่จะเริ่มทำงานวิจัย ซึ่งดู ๆ แล้วสิ่งที่นักวิจัยจำนวนมากต้องการคือหนังสือหรือตำราต่าง ๆ ซึ่งแทนที่ผู้วิจัยจะได้เงินจากหน่วยงานผู้ว่าจ้างมาหาซื้อหนังสือหรือตำราดี ๆ เพื่อใช้ในการทำวิจัยกลับต้องหาเงินมาจ่าย “มัดจำ” ให้หน่วยงานก่อนครับ นี่เป็นปัญหาประการแรกที่สำคัญที่เกี่ยวกับค่าตอบแทนที่นักวิจัยจำนวนหนึ่งต้องเจอครับ ปัญหาประการต่อมาที่พบส่วนมากก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “จรรยาบรรณ” ของการวิจัยและของนักวิจัยนั่นแหละครับ หน่วยงานผู้ว่าจ้างหลาย ๆ แห่งชอบที่จะ “ให้” งานวิจัยกับนักวิจัยจำนวนหนึ่งเพราะนักวิจัยบางคน “เชื่อมั่น” ว่าไม่มีใครในโลกนี้แล้วที่จะรู้เรื่องที่ตนเองวิจัยได้ดีกว่าคนในหน่วยงานที่ว่าจ้าง ดังนั้น เมื่อได้งานวิจัยจากหน่วยงานมา นักวิจัยผู้ได้รับงานวิจัยก็จะ “เชิญ” คนในหน่วยงานเข้ามาเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นผู้วิจัย ทำเช่นนี้หลาย ๆ เรื่องเข้าก็เกิดการพออกพอใจกันจนกลายเป็นการ “ผูกขาด” งานวิจัยขึ้นครับ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจประเด็นนี้เท่าไรนักเพราะหากคนในหน่วยงาน “รู้เรื่อง” ที่จะทำงานวิจัยดีขนาดนั้นแล้วจะมา “ว่าจ้าง” คนนอกให้วิจัยทำไมกันครับ! ทำเองน่าจะดีกว่าและประหยัดเงินของรัฐกว่าใช่ไหมครับ!!! เรื่องค่าตอบแทนงานวิจัยยังมีประเด็นให้คิดอีกมากเช่น ทำไมนักวิจัย “หน้าใหม่” มักจะถูก “กดราคา” ค่าตัวเหลือเกิน หรือทำไมบางครั้งผู้วิจัยมักจะทะเลาะกันเรื่องค่าตอบแทนจนเกิดปัญหาไม่พอใจกันและในบางรายก็ “กล้า” ที่จะเลือกใช้วิธีฟ้องศาลโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้นนอกจากเงินวิจัยที่ตนเองควรจะได้ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นปัญหาที่คนเหล่านั้นคงจะต้องตอบกันเองครับ เพราะผมพูดมากไปก็จะไม่ดีเช่นกันครับ
       ปัญหาที่เกี่ยวกับ “กระบวนการวิจัย” เป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่พบกันอยู่บ่อย ๆ นักวิจัยบางคนมี “ผู้ช่วยวิจัย” ซึ่งก็จะต้องไปเตรียมข้อมูลมาให้นักวิจัยตามที่นักวิจัยกำหนด ผู้ช่วยวิจัยก็คือผู้ช่วยวิจัยนะครับ เราคงไม่สามารถคาดหวังอะไรได้มาก ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือผู้ช่วยวิจัยไป “ลอก” งานวิจัยของคนอื่น ลอกวิทยานิพนธ์ ลอกหนังสือ ลอกสารพัดอย่างมาให้นักวิจัยแล้วก็ลืม “อ้างอิง” ครับ!!! ในกระบวนการทำวิจัยนั้น โดยหลักผู้ช่วยวิจัยควร “เตรียม” ข้อมูลให้นักวิจัยแล้วนักวิจัยก็จะต้องเป็นผู้ “ตัดสินใจ” เองว่าจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นหรือไม่ อย่างไร เพราะ “ที่มา” ของข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก ข้อมูลบางอย่างมีการแก้ไขปรับปรุงไปหลายครั้งแล้วแต่ผู้ช่วยวิจัยไม่ทราบแล้วนำมาใส่ ผลออกมาจึงทำให้งานวิจัยนั้น “ไร้ค่า” ครับ! แต่ในบางครั้งปัญหาที่พบก็อาจเป็นปัญหาที่เกิดจาก “นักวิจัย” เองที่ไม่มีความชำนาญพอที่จะดำเนินกระบวนการวิจัยต่อไปได้ เมื่อได้ข้อมูลอะไรมาก็นำมาใส่ไว้และไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะบังเอิญตนเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นครับ นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าลำบากใจพอสมควรทีเดียวสำหรับนักวิจัย “คุณภาพ” ที่หาก “เผลอ” ไปรับทำงานวิจัยที่ตนเองไม่ถนัดแล้วส่วนใหญ่ก็มักจะเจอปัญหาแบบนี้ครับ ผมเคยมีประสบการณ์อยู่บ้างแต่ไม่มาก อย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้วในตอนต้นครับว่าส่วนใหญ่ผมทำ “คนเดียว” ครับ ก็คงขอผ่านไปไม่นำมาเล่าในที่นี้ ปัญหาสุดท้ายคือปัญหาเรื่องผลการวิจัย ผมเคยอ่านเจองานวิจัยเล่มหนึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการกระจายอำนาจที่มีนักวิจัยที่เป็นนักกฎหมายจากทุกสาขา (ยกเว้นสาขากฎหมายปกครองและสาขากฎหมายมหาชนครับ!) บทสรุปวิจัย “น่าสนใจ” มากครับ เพราะคณะผู้วิจัยเสนอไว้ในข้อเสนอแนะว่าสมควรที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้อง “ให้ความรู้” ในด้านต่าง ๆ กับชาวบ้านมากขึ้นครับ!!! ก็คงเป็นเรื่องที่แปลกพอสมควรสำหรับข้อเสนอแนะเช่นนี้เพราะในทรรศนะของผมนั้น บทสรุปของงานวิจัยต้องเป็นรูปธรรมที่สุด งานวิจัยด้านกฎหมายนั้นคงต้องบอก “แนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน” เช่น ถ้าพบว่ารัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือกฎระเบียบใดมีปัญหา ผู้วิจัยก็ควรที่จะ “ยกร่าง” รัฐธรรมนูญ กฎหมาย หรือกฎระเบียบที่เป็นปัญหานั้นมาด้วยพร้อมกับคำอธิบายกลไกในการใช้สิ่งเหล่านั้นมาแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ก็เพื่อ “สะดวก” กับผู้ว่าจ้างที่จะมองเห็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมครับ นอกจากนี้แล้ว บางหน่วยงานก็ไม่ค่อย “เปิดเผย” ผลงานวิจัยของตนเองเท่าไรนัก ผมอยากเสนอความเห็นไว้ ณ ที่นี้ว่า มหาวิทยาลัยควรขอ “สำเนา” งานวิจัยจากหน่วยงานตามศาสตร์ของตนไว้ในห้องสมุดเพื่อให้นิสิตนักศึกษาที่กำลังศึกษาหรือกำลังทำวิทยานิพนธ์อยู่ได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยเหล่านั้นได้ การเก็บผลงานวิจัยเอาไว้ในหน่วยงานของตนไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เลยครับ การเปิดเผยงานวิจัยยังเป็นสิ่งจำเป็นในอีกทางหนึ่งในการพัฒนาระบบการวิจัยเพราะผู้อ่านงานวิจัยสามารถ “ตรวจสอบ” ได้ว่าหน่วยงานนั้นมี “ความสามารถ” ในการตั้งประเด็นวิจัยที่ดีและเป็นประโยชน์หรือไม่ และผลงานวิจัยออกมาดีหรือไม่ ส่วนการนำงานวิจัยออกมาพิมพ์เป็นหนังสือขายนั้นดู ๆ แล้วก็น่าจะดีหากงานวิจัยนั้นดี แต่ถ้างานวิจัยไม่ดีแล้วผู้วิจัยนำออกมาให้สำนักพิมพ์เอกชนพิมพ์เพื่อประโยชน์บางอย่างของตัวผู้วิจัยเอง เช่น เพื่อนำไปใช้ประกอบการขอตำแหน่งทางวิชาการ หรือเพื่อได้เงินค่าลิขสิทธิ์ เป็นต้น ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานผู้อนุมัติที่จะต้องประเมินดูดี ๆ เพราะเคยมีมาแล้วที่ผู้ซื้อ “ส่งคืน” แถม “วิพากษ์” อย่างรุนแรงอีกด้วยว่างานวิจัยนั้น “ไม่ได้เรื่อง” ทั้งนี้ หน่วยงานคงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไปนะครับ งานวิจัยที่ไม่ดีหากอนุญาตให้นำออกไปจัดพิมพ์เพื่อจำหน่ายก็จะเสียชื่อกันทั้งหน่วยงานและทั้งผู้วิจัยครับ
       นอกจากปัญหาทั้ง 5 ประการใหญ่ ๆ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ก็ยังมีปัญหาปลีกย่อยอีกหลาย ๆ อย่างที่ได้เห็น ได้ยิน หรือได้ฟังมา ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเกี่ยวโยงไปกับเรื่อง “ผลประโยชน์ตอบแทน” ทั้งนั้นแหละครับ ไม่ว่าจะเป็นการ “แย่ง” งานวิจัยกัน บางหน่วยงานถึงกับตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมาเพื่อรับทำงานวิจัยโดยเฉพาะ บางคนที่ชีวิตนี้ไม่สามารถไปทำงานวิจัยที่อื่นได้ในโลกก็สามารถ “มีชื่อ” อยู่ในงานวิจัยทุกเรื่องหรือ “มีค่าตอบแทน” จากการ “บริหาร” งานวิจัยทุกเรื่องที่ผ่านองค์กรพิเศษนั้น ในขณะที่นักวิจัยบางคนก็ “รัก” ที่ทำงานเหลือเกิน ขนาดรับงานวิจัย “ส่วนตัว” แล้วก็ยังอุตส่าห์หอบมานั่งทำที่ทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ยันดึกแถมไม่มีวันหยุดอีกด้วย งานนี้ผู้วิจัยสบายแต่หน่วยงานเสียค่าน้ำค่าไฟจมเลยครับ
       ผมคิดว่าจากปัญหาและอุปสรรคทั้งหมดที่กล่าวไปนี้ทำให้การทำงานวิจัยในบ้านเราไม่ได้ผลสูงสุดเท่าที่ควรจะได้รับ ที่ผมได้เขียนไปทั้งหมดผมไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใดหรือหน่วยงานใดเป็นการเฉพาะนะครับ เป็นการ “บอกเล่า” ประสบการณ์ในการทำวิจัยของผู้ทำงานวิจัยคนหนึ่งเท่านั้นครับ ถ้าทำให้ผู้ใดไม่พอใจหรือไม่สบายใจก็ขอโทษด้วยนะครับ จริง ๆ แล้วผมเคยพูดเรื่องวิจัยไปแล้วครั้งหนึ่งในบทบรรณาธิการช่วงแรกของผมเมื่อ 3 ปีที่แล้วครับ คือบทบรรณาธิการครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 ซึ่งในตอนนั้นก็มีนักวิจัยระดับปลายแถวคนหนึ่งอ่านบทบรรณาธิการครั้งนั้นเข้าแล้วคิดว่าผมพูดถึง ก็เลยไปฟ้องให้ผู้มีตำแหน่งคนหนึ่งมาตักเตือนผม ซึ่งผมก็ได้อธิบายให้ทราบว่าคงเป็นเรื่อง “กินปูนร้อนท้อง” เสียมากกว่าเพราะผมไม่ได้มีเจตนาวิพากษ์วิจารณ์ใคร แต่วิพากษ์วิจารณ์ระบบการทำวิจัยของเราครับ ในบทบรรณาธิการครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันที่ผม “พูดถึง” ระบบของการทำงานวิจัยในภาพรวมที่ผมประสบมาโดยมุ่งหวังว่าสิ่งที่ผมคิดหรือเขียนไปนั้นจะมีส่วนทำให้งานวิจัยของเราเป็นไปอย่างดียิ่งขึ้นและเกิดการพัฒนาในวงการวิจัยของเราในอนาคตบ้างไม่มากก็น้อยครับ
       ผมต้องขอขอบคุณคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ประธานกรรมการพัฒนากฎหมายที่ได้ให้งานวิจัย “ดี ๆ” กับผมและ “ขับเคี่ยว” ผมมาตลอดเวลา 5 ปีในการทำงานวิจัยเพียงชิ้นเดียว!! ขอขอบคุณสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่ได้ให้ความไว้วางใจกับผมมาตลอดในการให้ทำงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้น ขอขอบคุณสถาบันพระปกเกล้าเช่นกันสำหรับงานวิจัยที่ได้มอบหมายให้ผมทำ ขอขอบคุณเพื่อนนักวิชาการและผู้ช่วยวิจัยทุกคนที่มีส่วนร่วมในงานวิจัยที่ผมได้ทำไปทั้งหมดและท้ายที่สุดขอขอบคุณคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่แม้จะไม่เคยให้โอกาสผมได้ทำงานวิจัยที่ผ่านคณะหรือผ่านศูนย์วิจัยกฎหมายและการพัฒนา แต่ก็ยังอุตส่าห์เสนอชื่อผมต่อสภาวิจัยแห่งชาติ จนในที่สุด ผมก็ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขานิติศาสตร์ ประจำปี 2548 ตามที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอไปครับ
       
       ในสัปดาห์นี้เรามีบทความสามบทความมานำเสนอครับ บทความแรกคือ บทความเรื่อง “คำตอบสำหรับบทโต้แย้งทางวิชาการกรณีตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินกับการใช้และการตีความรัฐธรรมนูญ (ตอนที่ 2)” ของ รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เขียน “แย้ง” บทความของอาจารย์ ธีระ สุธีวรางกูร เรื่องบทโต้แย้งทางวิชาการกรณีตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่ได้ลงเผยแพร่ไปแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา บทความที่สองคือบทความของผมซึ่งเป็นบทความขนาดยาว 3 ตอนจบซึ่งลงไปแล้ว 1 ตอนเมื่อเดือนที่ผ่านมากคือบทความเรื่อง “กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน (ตอนที่ 2)” ครับ  บทความสุดท้ายคือบทความเรื่อง “รัฐธรรมนูญฉบับลิงแก้แห” ของคุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ ที่ส่งมาร่วมกับเราเป็นครั้งแรก ลองอ่านดูนะครับ ผมก็ต้องขอขอบคุณผู้เขียนทุกคน ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
       
       ก่อนที่จะจบบทบรรณาธิการนี้ ผมขออวยพรให้ผู้ใช้บริการทุกคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีสุขภาพดีและมีความสุขตลอดปี พ.ศ.2549 นี้ครับ
       
       พบกันใหม่ในวันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2549 ครับ
       
       ศาสตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์


 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544