หน้าแรก บทความสาระ
มาตรา 7 กับ นายกพระราชทาน โดย คุณศิระณัฐ วิทยาธรรมธัช
คุณ ศิระณัฐ วิทยาธรรมธัช นิสิตชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2 เมษายน 2549 23:21 น.
 
หลายท่านคงทราบกันดีถึงกระแสการเมืองในประเทศของเรา ณ ขณะนี้ซึ่งมีทั้งกลุ่มสนับสนุนนายกรัฐมนตรีและกลุ่มต่อต้านนายกรัฐมนตรี ข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีก็มีหลากหลายนับตั้งแต่ให้ลาออก ให้เว้นวรรคทางการเมือง แต่ข้อเสนอล่าสุดและน่าจะเป็นข้อเสนอสุดท้ายแล้วคือ การขอพึ่งพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทานและคณะรัฐมนตรีพระราชทาน(จากนี้ไปจะขอเรียกโดยย่อว่านายกพระราชทาน)เป็นการชั่วคราวเพื่อแก้ไขวิกฤตทางการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยกลุ่มที่เรียกร้องดังกล่าวได้อ้างมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจแก่พระมหากษัตริย์ในการพระราชทานนายกรัฐมนตรี
       แต่ก่อนที่จะได้พิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวมีความเป็นไปได้หรือไม่ควรจะได้แยกการคิดเป็นประเด็นต่างๆดังต่อไปนี้
       
       มาตรา 7 มีความหมายว่าอย่างไร
       
มาตรา 7 ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
       บทบัญญัติในลักษณะนี้มิได้เพิ่งปรากฏเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่เคยมีความลักษณะดังกล่าวปรากฏเป็นครั้งแรกในธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นฉบับเผด็จการ เพียงแต่ยังไม่มีคำว่า “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ต่อท้าย สาเหตุที่ต้องมีบทบัญญัติดังกล่าวน่าจะเป็นเพราะว่าธรรมนูญฉบับดังกล่าวมีเพียงไม่กี่มาตราจึงจำเป็นต้องมีบทที่ให้อำนาจในการวินิจฉัยหากไม่มีบทบัญญัติแห่งธรรมนูญบังคับถึงกรณีนั้นๆ ข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจคือ บทบัญญัติในนี้ยังไปปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆซึ่งเขียนโดยคณะปฏิวัติรัฐประหารเรื่อยมาจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 ซึ่งยังมีบทบัญญัตินี้อยู่โดยเพิมวลี “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ต่อท้ายไปด้วย ขณะที่รัฐธรรมนูญที่บัญญัติขึ้นจากการมีส่วนร่วมของผู้คนในสังคมคือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2517 กลับไม่มีบทบัญญัตินี้
       ฉะนั้นแล้วเหตุใดจึงมีบทบัญญัติดังกล่าวในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ได้ชื่อว่าเป็นฉบับประชาชน
       ที่มาน่าจะเกิดมาจากการนำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2534 มาใช้เป็นต้นแบบแก่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ถึงกระนั้นก็ตามการที่จะบอกว่าบทมาตรา 7 ในปัจจุบันมีความเหมาะสมเป็นประชาธิปไตยหรือไม่คงมิได้พิจารณาเพียงตามถ้อยคำเท่านั้นแต่ยังต้องดูถึงแนวทางในการใช้บังคับอีกด้วย มาตรา 7 ในบริบทของปัจจุบันจึงไม่ควรถูกตีค่าว่าเป็นมาตราจากรัฐธรรมนูญเผด็จการและการใช้บทบัญญัติมาตรา 7 ก็ต้องระวังไม่ให้เป็นการใช้อำนาจอันไม่เหมาะสมโดยอ้างมาตรานี้เสมือนจะบอกว่าการกระทำอันไม่เหมาะสมดังกล่าวเป็นลักษณะของประชาธิปไตยแบบไทยๆซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
       จากส่วนประกอบของมาตรา 7 มีคำถามที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
       1.เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด คำว่ากรณีใดในที่นี้แปลว่าอะไร
       2.องค์กรใดที่จะเป็นผู้วินิจฉัยกรณีตามมาตรา 7
       3.ประเพณีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขคืออะไร
       ในการดำเนินกิจการของรัฐนอกจากจะต้องอาศัยรัฐธรรมนูญและกฎหมายระดับสูงอื่นๆอันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ยังมีกฎเกณฑ์อย่างอื่นซึ่งไม่เป็นลายลักษณ์อักษรแต่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากฎหมายที่ได้กล่าวเลยซึ่งจะต้องนำมาใช้บังคับนั่นคือจารีตประเพณีในการปกครองประเทศซึ่งเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Convention จารีตประเพณีในการปกครองประเทศมีอยู่หลายอย่างแตกต่างหลากหลายกันไปตามแต่ละประเทศ ประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือในเมื่อรัฐทราบถึงความมีอยู่ของจารีตประเพณีเหล่านี้แล้วเหตุใดจึงไม่บัญญัติจารีตดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญเสียเลย คำตอบก็เป็นเพราะรัฐต้องการให้จารีตประเพณีมีการยืดหยุ่นในการใช้บังคับเพราะในบางกรณีการกระทำตามจารีตประเพณีอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐได้ รัฐธรรมนูญในประเทศต่างๆจึงมักไม่มีการบัญญัติจารีตประเพณีนั้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ความยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นจะเปิดโอกาสให้สังคมได้ถกเถียงและยุติเป็นจารีตซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงไปนั่นเองโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เช่น ในประเทศไทยมีจารีตอยู่ประการหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์จะไม่ทรงใช้อำนาจยับยั้งร่างกฎหมายแม้อาจกระทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติคือการไม่พระราชทานร่างกฎหมายคืนภายใน 90 วัน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อไม่กี่ปีก่อนได้มีการพระราชทานร่างพระราชบัญญัติฉบับหนึ่งคืนโดยไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยเนื่องมาจากความบกพร่องในเนื้อหาซึ่งขัดแย้งกันเองทำให้ไม่อาจลงพระปรมาภิไธย เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้รัฐสภาจึงตัดสินใจเพิกถอนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวและเริ่มกระบวนการใหม่ตั้งแต่ต้น จึงถือได้ว่าเกิดจารีตประเพณีใหม่ซ้อนไปกับจารีตประเพณีเดิมคือพระมหากษัตริย์จะไม่ทรงใช้อำนาจยับยั้งร่างกฎหมายแต่เมื่อใดที่พระองค์ใช้อำนาจนี้รัฐสภาก็ต้องเพิกถอนร่างกฎหมายดังกล่าวให้ตกไป
       การละเมิดจารีตประเพณีในการปกครองประเทศนั้นจะเห็นว่าเมื่อรัฐธรรมนูญได้ให้ความยืดหยุ่นในการใช้จารีตประเพณีแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องหากจะละเมิดจารีตประเพณีก็ต้องมีคำอธิบายต่อสังคมได้ถึงเหตุในการละเมิดจารีตนั้นหากเหตุผลที่ยกมาไม่อาจฟังได้เพียงพอผู้ละเมิดย่อมได้รับการลงโทษทางสังคม (social sanction)
       แม้ไม่ชัดเจนเท่าผลบังคับทางกฎหมาย (legal sanction) แต่อาจมีความรุนแรงกว่าก็เป็นได้
       จุดประสงค์ของมาตรา 7 ประการหนึ่งจึงเป็นเพื่อสร้างฐานกฎหมายมารองรับจารีตประเพณีการปกครองที่มีอยู่แล้วรวมถึงที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต จุดประสงค์นี้ความจริงแล้วไม่มีบทบัญญัติมาตรา 7 ก็สามารถนำจารีตมาใช้บังคับได้อยู่แล้วเพราะจารีตย่อมเกิดขึ้นจากการยอมรับของทุกส่วนในสังคมว่ามีผลบังคับเสมือนกฎหมาย มาตรา 7 จึงเป็นเพียงการรับรองซ้ำเท่านั้น
       จุดประสงค์อีกประการหนึ่งของมาตรา 7 คือ การอุดช่องว่างของกฎหมายซึ่งเป็นจุดประสงค์ดั้งเดิมที่เป็นเหตุในการบัญญัติไว้เพราะแม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะมีมากถึง 336 มาตรา แต่การที่มีถึง 336 มาตราก็ทำให้เกิดความซับซ้อนอันอาจก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่มีการกล่าวถึงได้ อีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะรัฐธรรมนูญย่อมมุ่งหมายที่จะใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐไปตราบชั่วนิรันดร์ เมื่อเวลาผ่านไปความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอาจทำให้เกิดปัญหาใหม่ๆที่รัฐธรรมนูญไม่อาจคิดไปได้ถึงแต่ในเมื่อมีกรณีเกิดขึ้นแล้วก็จำเป็นต้องมีการจัดการ เมื่อยังไม่มีกฎหมายบัญญัติถึง มาตรา 7 จึงให้อำนาจผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะสั่งไปตามเห็นสมควรโดยสอดคล้องกับประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
       คำว่ากรณีตามมาตรา 7 จึงน่าจะหมายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้รัฐธรรมนูญ เช่น การเลือกตั้ง การประชุมสภา การออกกฎหมาย เป็นต้น หากเกิดปัญหากับกลไกตามรัฐธรรมนูญเหล่านี้และไม่มีบทบัญญัติกล่าวถึงทางแก้ปัญหาหรือวิธีการแก้ปัญหาไว้ย่อมนับเป็นกรณีที่จะนำมาตรา 7 มาใช้บังคับ
       ดังได้กล่าวไปแล้วว่ากรณีหมายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้รัฐธรรมนูญเพราะฉะนั้นผู้ที่จะมีอำนาจวินิจฉัยสั่งการไปตามประเพณีการปกครองจึงต้องเป็นผู้มีอำนาจตามกลไกที่เป็นปัญหา เช่นในกรณีที่ได้เกิดขึ้นแล้วคือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอยู่เขตการเลือกตั้งหนึ่งมีผู้สมัครเพียงคนเดียวแต่เมื่อภายหลังเวลารับสมัครผู้สมัครรายนั้นถูกศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิในการสมัครเลือกตั้งเพราะไม่ได้ไปเลือกตั้งในครั้งก่อน จึงเกิดปัญหาว่าเขตเลือกตั้งดังกล่าวไม่มีผู้สมัครเลยแม้แต่คนเดียวซึ่งจะทำให้ไม่ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบตามกำหนด คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยซึ่งศาลได้วินิจฉัยออกมาว่าให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาสั่งตามสมควร
       ในส่วนประกอบที่สามมีคำถามสำคัญว่า อะไรคือประเพณีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คำตอบก็คือการวินิจฉัยกรณีปัญหาโดยยึดหลักประชาธิปไตยและหลักเกณฑ์อื่นๆอันได้แก่ จารีตประเพณีที่เคยปฏิบัติมาและหลักกฎหมายมหาชน
       จะเห็นว่าการใช้มาตรา 7 นั้นอยู่บนพื้นฐานของหลักเกณฑ์ซึ่งมิใช่กฎหมายลายลักษณ์อักษรการวินิจฉัยโดยอ้างมาตรา 7 จึงต้องประกอบด้วยเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอเพื่อให้เกิดความชอบธรรมทำให้ปัญหายุติลงได้อย่างแท้จริง ดังเช่นกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ได้กล่าวถึงไปแล้วได้มีคำสั่งให้เปิดรับสมัครเลือกตั้งใหม่แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงกรณีนี้ไว้ แต่คณะกรรมการออกคำสั่งนี้โดยถือหลักว่าประชาธิปไตยต้องมีตัวแทนของปวงชนผ่านกระบวนการเลือกตั้งเมื่อเกิดข้อบกพร่องทำให้เขตเลือกตั้งไม่มีผู้สมัครให้ประชาชนเลือกย่อมชอบที่จะเปิดโอกาสให้มีการสมัครอีกครั้งเพื่อให้การเลือกตั้งได้เกิดขึ้น เหตุผลเหล่านี้ทำให้คำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับการยอมรับและปฏิบัติตามในที่สุด
       
       นายกพระราชทานคืออะไร
       นายกพระราชทานไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายฉบับใดๆแต่เป็นคำใช้เรียกนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากพระมหากษัตริย์ซึ่งมีอยู่คนเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทยคือ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ มูลเหตุของนายกพระราชทานเกิดมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อนักศึกษา ประชาชนจำนวนมหาศาลเดินขบวนขับไล่รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เกิดการปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชนเป็นวงกว้างกลางกรุงเทพมหานคร ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกดดันให้จอมพลถนอมต้องลาออกจากทุกตำแหน่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเมื่อไม่มีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีผู้ใดจะเป็นผู้ใช้บังคับกฎหมาย ภาวะไร้รัฐนั้นจะปล่อยให้มีอยู่ไม่ได้เพราะจะทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและขณะนั้นกลไกของรัฐที่จะให้มีนายกรัฐมนตรีก็ใช้การไม่ได้เพราะประเทศไม่มีสภาหากจะจัดให้มีการเลือกตั้งก็จะใช้เวลานานเกินกว่าจะป้องปัดความเสียหายจากวิกฤตนี้ได้ ด้วยพฤติการณ์และเงื่อนไขเช่นนั้นทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตัดสินพระทัยแต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีกลางโทรทัศน์โดยที่ตัวนายสัญญาเองก็มิเคยรับทราบมาก่อน ซึ่งรัฐบาลนายสัญญานั้นมีหน้าที่จัดการให้เกิดความสงบเรียบร้อยในประเทศหลังวิกฤตกาล จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และจัดให้มีการเลือกตั้ง เมื่อการเลือกตั้งได้สำเร็จลุล่วงไปแล้วนายสัญญาก็ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกเลย
       ข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับนายกพระราชทานคือแม้จะเกิดวิกฤตความรุนแรงทางการเมืองขึ้นอีกสองครั้งในปี 2519 และ 2535 ก็ไม่มีการออกคำสั่งแต่งตั้งเช่นนั้นอีกเหตุน่าจะเป็นเพราะในปี 2519 นั้นได้มีการทูลเกล้าถวายชื่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ส่วนในปี 2535 นั้นยังมีกลไกรัฐสภาเพื่อคัดเลือกนายกรัฐมนตรีอยู่จึงทรงรอไว้ให้รัฐสภาเป็นผู้คัดบุคคลขึ้นทูลเกล้าเอง
       
       นายกรัฐมนตรีพระราชทานในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 7 หรือไม่
       จะเป็นการใช้อำนาจตามมาตรา 7 หรือไม่ต้องพิจารณาเสียก่อนว่านายกรัฐมนตรีพระราชทานถือเป็นจารีตประเพณีในการปกครองประเทศ (convention) หรือไม่ การจะเป็นจารีตได้นั้นต้องมีการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอรวมถึงการมองว่าการกระทำดังกล่าวมีสภาพบังคับเป็นกฎหมายอีกด้วย แต่จะเห็นได้ว่านายกรัฐมนตรีพระราชทานเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นไม่น่าจะเพียงพอในการตีค่าเป็นจารีตประเพณีได้รวมถึงการแต่งตั้งนายกพระราชทานนั้นเป็นคำสั่งที่ออกมาตามความเหมาะสมแห่งกรณีเท่านั้นมิได้เกิดจากการมองว่ามีเงื่อนไขบังคับให้ต้องออกคำสั่ง จึงไม่อาจตีความได้ว่านายกพระราชทานเป็นจารีตประเพณีในการปกครองประเทศ
       อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือนายกพระราชทานจะถือเป็นการอุดช่องว่างของรัฐธรรมนูญหรือไม่ซึ่งหลักการพิจารณาก็ได้ให้ไว้เป็นสามประการข้างต้นคือ
       1.ถือเป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญบังคับไว้หรือไม่
       นายกพระราชทานความจริงแล้วก็คือที่มาและการสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเองซึ่งจะเห็นว่าย่อมเป็นกรณีที่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว การเชื่อมโยงนายกพระราชทานกับมาตรา 7 จึงไม่น่าถูกต้องเพราะในเมื่อมีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้วจะนำสิ่งซึ่งไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญมาบังคับได้อย่างไร
       หลายฝ่ายพยายามยกเหตุผลว่ากลไกในการถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งไม่อาจนำมาใช้ได้จึงถือเป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติกำหนดก็เห็นจะเป็นการแสดงเหตุผลที่แปลกประหลาดและฟังดูไม่เคารพกฎหมายเพราะหากใช้กลไกถอดถอนแล้วไม่สำเร็จย่อมแสดงในเบื้องต้นว่านายกไม่มีความผิดแม้ความจริงอาจมิใช่เช่นนั้นก็ตาม การตั้งประเด็นเรื่องนายกพระราชทานจึงเป็นการด่วนสรุปในเบื้องต้นทั้งที่ยังไม่มีข้อสรุปใดๆชัดเจน กลไกในการถอดถอนนายกรัฐมนตรีมีอยู่ตามรัฐธรรมนูญแล้วและแม้จะไม่อาจถอดถอนได้สำเร็จก็ยังมีหนทางอื่นๆในการกดดันให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง เช่น การชุมนุมประท้วงภายใต้กรอบของกฎหมายซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญยอมรับ
       2.องค์กรใดเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยกรณีดังกล่าว
       เมื่อไม่เข้าตามเงื่อนไขข้อแรกแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคิดในข้อนี้อีก แต่หากจะให้พิจารณาเทียบเคียงแล้วองค์กรที่มีอำนาจพิจารณาสั่งก็คือ พระมหากษัตริย์ ซึ่งทำให้มีลักษณะพิเศษกว่าองค์กรอื่นคือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมือง การเรียกร้องของหลายฝ่ายให้มีนายกพระราชทานจึงเป็นผลเสียยิ่งกว่าผลดีเพราะหากพระองค์มีคำสั่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ย่อมเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเป็นกลางทางการเมือง หากต้องการให้มีนายกพระราชทานจริงๆแล้วก็ควรที่จะให้พระองค์เป็นฝ่ายพิจารณาวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง การกระทำของฝ่ายเรียกร้องจริงๆแล้วจึงหาใช่นายกพระราชทานไม่แต่เป็นนายกขอพระราชทาน
       3.นายกพระราชทานถือเป็นประเพณีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่
       ข้อนี้พิจารณาอย่างไรก็ไม่อาจจะถือว่าเป็นประเพณีประเพณีการปกครองได้เพราะขัดต่อหลักการสำคัญหลายอย่างตั้งแต่หลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง และหลักสถานะของพระมหากษัตริย์ในทางการเมืองซึ่งเป็นกลาง อยู่เหนือและไม่ต้องรับผิดทางการเมืองเพราะการแต่งตั้งนายกพระราชทานย่อมแสดงว่าพระองค์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง การเลือกบุคคลก็ย่อมแสดงความไม่เป็นกลางและเมื่อพระองค์ทรงเลือกด้วยพระองค์เองการใดที่นายกรัฐมนตรีพระราชทานกระทำไปย่อมกระทบถึงพระองค์ด้วยไม่ว่าทางดีหรือทางร้าย
       ฝ่ายที่เรียกร้องพยายามชี้ให้เห็นว่านายกพระราชทานเป็นการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ที่มีมาแต่โบราณ ผู้เขียนคงไม่ขอโต้แย้งว่าพระมหากษัตริย์ไม่มีอำนาจดังกล่าวแต่ต้องการจะชี้ประเด็นว่าพระราชอำนาจที่มีอยู่จริงนั้นคงมีอยู่แต่เพียงสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายเสนาบดี คงจะถือเอาพระราชอำนาจในระบบดังกล่าวมาเป็นพระราชอำนาจที่อาจใช้ได้ในปัจจุบันหาได้ไม่
       จากการพิจารณามาทั้งหมดที่ได้กล่าวแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่านายกพระราชทานมิใช่แนวคิดที่ได้รับการยอมรับตามกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยในปัจจุบันไม่ว่าจะมีมาตรา 7 หรือไม่ก็ตาม
       เช่นนั้นแล้วทำไมจึงเกิดนายกรัฐมนตรีพระราชทานในปี 2516
       
คำสั่งแต่งตั้งนายกพระราชทานในครั้งนั้นไม่มีฐานทางกฎหมายใดรองรับแต่เหตุที่คำสั่งนั้นได้รับการยอมรับสามารถมองได้สองแง่ คือ ในแง่วัฒนธรรม อำนาจในทางวัฒนธรรมของพระมหากษัตริย์มีมหาศาลไม่ว่าจะได้รับการยอมรับตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ คำสั่งของพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นประมุขแห่งรัฐและเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติจึงย่อมได้รับการยอมรับและปฏิบัติตามโดยไม่มีการโต้แย้ง ส่วนที่น่าสนใจคือในอีกแง่หนึ่งคือ แง่ความชอบธรรม เช่นเดียวกับการออกกฎหมายหรือการออกคำสั่งของรัฐการที่จะทำให้คำสั่งดังกล่าวได้รับการยอมรับและปฏิบัติตามนอกจากจะต้องมีความชอบด้วยกฎหมายแล้วยังต้องมีความชอบธรรมคือเหตุผลในคำสั่งที่หนักแน่นเพียงพอด้วย ในบางครั้งการกระทำบางอย่างของรัฐก็ไม่อาจอ้างเหตุทางกฎหมายได้แต่หากอธิบายเหตุผลเพียงพอความชอบธรรมที่เกิดขึ้นจะทำให้การกระทำได้รับการยอมรับ ในคราวปี 2516 นั้นคำสั่งมีความชอบธรรมเพราะรัฐบาลจอมพลถนอมขาดความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจมาแต่ต้นผู้คนในสังคมเกือบทั้งหมดไม่ต้องการให้จอมพลถนอมบริหารประเทศอีกต่อไป การตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ก็ชอบด้วยเหตุผลดีแล้วเพราะจำเป็นต้องมีรัฐบาลเพื่อบังคับใช้กฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศซึ่งการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหากรอตามกลไกธรรมดาย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศจึงจำเป็นต้องมีพระบรมราชโองการดังกล่าว
       แต่หากจะมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีพระราชทานในปี 2549 แม้ว่าอำนาจในทางวัฒนธรรมของพระมหากษัตริย์จะทวีเพิ่มกว่าเดิม แต่การแต่งตั้งในครั้งนี้ย่อมมีปัญหาในแง่ความชอบธรรมอย่างไม่ต้องสงสัยประการหนึ่งเพราะประเทศกำลังจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันจะทำให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีตามหนทางของรัฐธรรมนูญแม้ว่าคนส่วนหนึ่งจะเห็นว่าการเลือกตั้งนั้นเป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้แก่รักษาการณ์นายกรัฐมนตรีก็ตาม หากมีคำสั่งแต่งตั้งจะไม่เหมาะสมเพราะกำลังจะมีกระบวนการให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว และหากมีคำสั่งแต่งตั้งภายหลังการเลือกตั้งยิ่งไม่เป็นการเหมาะสมเพราะจะถือว่าเป็นการหักล้างเจตจำนงของประชาชนซึ่งได้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีอีกต่อหนึ่ง ปัญหาความชอบธรรมในประการที่สองคือขณะนี้ความคิดเห็นของผู้คนในสังคมได้แตกแยกออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนและความแตกแยกดังกล่าวนับวันมีแต่จะขยายไปสู่ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ การแต่งตั้งนายกพระราชทานแม้จะทำให้ปัญหาดูเหมือนสงบลงแต่ย่อมสร้างความไม่พอใจอยู่ลึกๆแก่กลุ่มคนที่ยังสนับสนุนรักษาการณ์นายกรัฐมนตรีซึ่งจะเป็นผลเสียแก่ทุกฝ่ายไม่เว้นแม้แต่พระมหากษัตริย์เองที่จะถูกมองว่าไม่ทรงเป็นกลางทางการเมือง
       ข้อเสียประการสุดท้ายหากจะให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทานคือการยอมให้มีดังกล่าวย่อมกลายเป็นแบบอย่างแก่ผู้คนในสังคมให้ใช้วิธีการนี้ในการทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองซึ่งย่อมไม่เป็นธรรมต่อผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่อาจถูกปลดออกจากตำแหน่งทั้งที่ยังไม่อาจพิสูจน์ความผิดในการบริหารราชการแผ่นดินของตน
       จากคำอธิบายทั้งหมดที่กล่าวมาย่อมเห็นได้ว่าแนวคิดนายกพระราชทานนั้นไม่ได้รับการยอมรับทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ กลุ่มผู้เรียกร้องให้มีนายกพระราชทานจึงควรเปลี่ยนแนวทางและรูปแบบในการเรียกร้องให้เป็นไปในทางอื่นเพราะนอกจากการเรียกร้องให้มีนายกพระราชทานจะไม่ประสบผลสำเร็จแล้ว การที่พระองค์ไม่ทรงตอบรับตามข้อเรียกร้องอาจทำให้กลุ่มผู้เรียกร้องบางคนซึ่งมิทราบถึงสถานะและบทบาทของพระมหากษัตริย์ตามระบอบประชาธิปไตยเกิดความเข้าใจผิดนำมาซึ่งความรู้สึกด้านลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง


 
 
หลักความเสมอภาค
องค์กรอิสระ : ความสำคัญต่อการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูประบบราชการ โดย คุณนพดล เฮงเจริญ
ปัญหาของการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในประเทศไทย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ผลในทางปฏิบัติ เมื่อครบรอบหกปีของการปฏิรูปการเมือง
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม
   
 
 
 
PAYS DE BREST : COOPERER VOLONTAIREMENT AU SERVICE DU TERRITOIRE
La violence internationale : un changement de paradigme
การลงทะเบียนเพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย: มิติด้านกฎหมายและเทคโนโลยี
Tensions dans le cyber espace humanitaire au sujet des logos et des embl?mes
คุณูปการของศาสตราจารย์พิเศษ ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์ ต่อการพัฒนากฎหมายปกครองและกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง : งานที่ได้ดำเนินการไว้ให้แล้วและงานที่ยังรอการสานต่อ
การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ยาแก้โรคคอร์รัปชันยุคใหม่
สหพันธรัฐ สมาพันธรัฐ คืออะไร
มองอินโด มองไทย ในเรื่องการกระจายอำนาจ
การฟ้องปิดปาก
 
 
 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544