หน้าแรก บทบรรณาธิการ
 
ครั้งที่ 104
21 มีนาคม 2548 08:18 น.
"การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน"
       สำหรับบทบรรณาธิการครั้งนี้ กองบรรณาธิการได้รับมอบหมายจากศาตราจารย์ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ บรรณาธิการของเราให้เขียนบทบรรณาธิการแทน เนื่องจากอาจารย์อยู่ในระหว่างการนำคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทยไปศึกษาดูงานอย่างเป็นทางการ ณ ประเทศฝรั่งเศส
       
       ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ คงไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ ซึ่งสำหรับท่านนายกรัฐมนตรีเองก็ได้ออกมาให้ “สัญญาประชาคม” กับคนไทยทุกคนในโอกาสรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันพุธที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๘ ที่ผ่านมา ซึ่งผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.thaigov.go.th โดยในคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรีมีประเด็นที่กองบรรณาธิการสนใจอยู่ประเด็นหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่อาจารย์นันทวัฒน์ฯ ได้ฝากให้นำเสนอในบทบรรณาธิการครั้งนี้ ประเด็นที่ว่าก็คือ “การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน” โดยในคำกล่าวตอนหนึ่งของท่านนายกรัฐมนตรีทักษินฯ กล่าวไว้ว่า “ ผมจะผลักดันให้การมีส่วนร่วมนั้นเกิดขึ้นในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นการที่ผมจะออกไปเยี่ยมและพบประชาชนเพื่อรับฟังความเห็นและปัญหาของเขาโดยตรง หรือที่เรียกว่า Public Hearing หรือการรับฟังสาธารณะ หรือแม้กระทั่ง Referendum หรือการลงประชามติหากมีความจำเป็นในเรื่องสำคัญๆก็จะทำ”
       
       จากสิ่งที่ "ท่านนายกรัฐมนตรี" ได้กล่าวไว้ทำให้นึกถึงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในบ้านเรา หรือการทำประชาพิจารณ์ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดไว้ในมาตรา 59 ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผล จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนท้องถิ่นและมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามที่กฎหมายบัญญัติ” ซึ่งในขณะนี้มีเพียง "ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ. 2539" ซึ่งเป็นระเบียบที่มีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ เช่น การที่ระเบียบสำนักนายกฉบับนี้มิได้กำหนดว่าต้องเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน “ก่อน” มีการอนุมัติหรืออนุญาตโครงการใด ๆที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนหรือส่วนรวม ผลที่ตามมาก็คือมักมีการตัดสินใจจากภาครัฐในการดำเนินโครงการนั้นๆแล้วจึงค่อยมาจัดทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ดังนั้นการร่วมแสดงความคิดเห็นดังกล่าวของประชาชนจึงมิได้เป็นการเสนอความเห็นหรือมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง หากแต่เป็นเพียงรูปแบบ หรือประชาสัมพันธ์เท่านั้น อีกทั้งวิธีการในการแสดงความคิดเห็นยังไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทำให้การทำประชาพิจารณ์หรือการร่วมแสดงความคิดเห็นของประชาชนในหลาย ๆโครงการมีปัญหา เช่นโครงการท่อแก๊สไทย มาเลเซีย เป็นต้น
       
       อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของความจำเป็นในการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นคือ การจัดทำผังเมือง โดยเฉพาะในเมืองหลวงที่ปัจจุบันมีการก่อสร้างกันมากและก่อให้เกิดมลพิษทางทัศนียภาพของเมือง  ดังรูปที่ปรากฏอยู่นี้จะเห็นได้ว่ามีการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งสร้างติดกับวัดและติดวังสระประทุม

ดังนั้น หากก่อนมีการอนุมัติโครงการจากทางราชการได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือทำการประชาพิจารณ์ขึ้น ก็น่าจะส่งผลให้ทางราชการหรือฝ่ายปกครองต้องทบทวนการอนุมัติโครงการกันใหม่ เพราะคงไม่มีประชาชนคนไทยคนใดที่ต้องการเห็นสิ่งก่อสร้าง (ห้างสรรพสินค้า) ที่มีมากเกินความจำเป็นบดบังทัศนีย์ภาพอันสวยงามของวัดและที่พำนักของบุคคลที่เราเคารพบูชา
       
       หากท่านนายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการรับฟังปัญหาหรือให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการดำเนินงานของภาครัฐหรือโครงการต่างๆที่มีส่วนได้เสียกับประชาชนหรือต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารบ้างเมืองมากที่สุด สิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรีสมควรต้องรีบดำเนินการก็คือ "ผลักดัน" ให้มีการออกกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่ออุดช่องว่างของระเบียบสำนักนายกฯ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันและเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนภายใต้เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญโดยสมควรกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องโครงการหรือการกระทำใด ๆ ไว้อย่างชัดแจ้งโดยเฉพาะในเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, ผังเมืองหรือความเป็นอยู่ของคนในสังคม
       
       หากผู้ใดสนใจเกี่ยวกับเรื่องประชาพิจารณ์สามารถอ่านได้ที่บทความซึ่งทางเว็บไซต์ของเราได้เคยนำเสนอไปแล้วคือ บทความเรื่อง  “ข้อเสนอสำหรับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในประเทศไทย ตอนที่ 1” และ ตอนที่ 2 โดยศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ และ บทความภาษาอังกฤษเรื่อง “Thailand’s Public Consultation Law: Opening the Door to Public Information Access and Participation” ของคุณปกรณ์ นิลประพันธ์ จากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
       
       ในสัปดาห์นี้เราขอนำเสนอรายงานการวิจัยของศาสตราจารย์ ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ ซึ่งนำมาลงเป็นตอนที่ 7 คือ “การให้สิทธิประชาชนฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ กรณีละเมิดสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” (ตอนที่ 7) และแนะนำหนังสือใหม่เรื่อง “กฎหมายการปกครองท้องถิ่น” ของรองศาสตราจารย์ ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์
       
       พบกันใหม่ในวันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2548
       
       กองบรรณาธิการ


 
 
     

www.public-law.net ยินดีรับพิจารณาบทความด้านกฎหมายมหาชน โดยผู้สนใจสามารถส่งบทความผ่านทาง wmpublaw@public-law.net
ในรูปแบบของเอกสาร microsoft word (*.doc) เอกสาร text ข้อความล้วน (*.txt)ลิขสิทธิ์และความรับผิดตามกฎหมายของบทความที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านทาง www.public-law.net นั้นเป็นของผู้เขียน ขอสงวนสิทธิ์ในการนำบทความที่ได้รับการเผยแพร่ไปจัดพิมพ์รวมเล่มเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้สนใจต่อไป ข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏใน website นี้ยังมิใช่ข้อมูลที่เป็นทางการ หากต้องการอ้างอิง โปรดตรวจสอบรายละเอียดจากแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น

จำนวนผู้เข้าชมเวบ นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544